คนในกระบวนการยุติธรรมถกปัญหา พร้อมข้อเสนอในการปรับปรุงชั้นศาล อัยการ พนักงานสอบสวน รวมถึงการเยียวยาแพะ การรื้อฟื้นคดี (มีคลิป) พ่อไผ่ ดาวดิน บุกยื่นหนังสือโฆษกศาลในงาน
27 ม.ค.2560 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัด นิติ-วิพากษ์ ครั้งที่ 1 หัวข้อ ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม (Miscarriage of Justice) ปัญหาและทางออก โดยมีผู้เข้าร่วมทั้ง ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ กรมคุ้มครองสิทธิ ภายหลังการเสวนา วิบูลย์ บุญภัทรรักษา พ่อของจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ได้ตั้งคำถามถึงกระบวนการฝากขังที่ไม่เป็นธรรม และการไม่ให้ประกันตัวลูกชาย นอกจากนี้เขายังได้ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกาผ่านโฆษกศาลยุติธรรมที่มาร่วมงานนี้
"ผมคงไม่เอาเรื่องราวในศาลมาพูด เห็นด้วยกับท่านโฆษกที่ว่าไม่ควรแสดงควาเห็นระหว่างพิจารณา แต่ผมเห็นว่า กรณีที่หากเกิดกรณีใดๆ ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ควรต้องหยิบยกมาพูดในเชิงหลักการและวิชาการ ถ้าบอกไม่ให้พูด ผมไม่เห็นพ้องด้วย
สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม
สังคมเองก็มีความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับศาลยุติธรรม เช่น การเชื่อเรื่อง “แพะ” ทันทีแม้มีคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว การให้ความเห็นมากมายระหว่างที่กำลังพิจารณาอยู่ซึ่งอาจกระทบต่อการสืบพยานในคดี
ส่วนการมองความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมนั้น ด้วยภาระที่หนักมากย่อมทำให้มีข้อผิดพลาดได้ โดยหลักเกณฑ์กำหนดให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดี 1,000 คดีต่อคนต่อปี แต่ทำคดีจริงๆ 1,700-1,800 คดีต่อคนต่อปี
ประเด็นที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมคือ มันยังมีลักษณะเป็นท่อนๆ ที่แยกจากกันโดยเด็ดขาด ในต่างประเทศ มีผู้พิพากษาที่คุมตั้งแต่ก่อนฟ้อง เรียกว่า ผู้พิพากษาไต่สวน ซึ่งจะสามารถเห็นสำนวนเป็นเนื้อเดียวกัน
นอกจากนี้ งานยุติธรรมบ้านเรายังถูกจำกัดด้วยเวลา เพราะเมื่อจับผู้ต้องหามาแล้วต้องดำเนินการต่างๆ ให้ทันตามกฎหมายกำหนด ไม่มีคอนเซ็ปท์ของการรวบรวมหลักฐานให้พร้อมให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนแล้วค่อยดำเนินการจับกุม ทำให้สำนวนเกิดความบกพร่อง
สำหรับความเปลี่ยนแปลงในชั้นศาลนั้น น่าจะมุ่งเน้นให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดีให้ครบองค์คณะ ซึ่งโดยปกติจะนั่ง 2 คน แต่ควรมากกว่านั้น เป็น 5 คน 7 คน นอกจากนี้ในการสืบพยานก็มีข้อเสนอให้บันทึกเป็นภาพและเสียงแทนตัวอักษร เพราะจะเห็นชัดกว่าการตีความตามตัวหนังสือ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะศาลมี 3,000 แห่งทั่วประเทศต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่หากทำได้ก็จะเป็นหลักประกันอันหนึ่งให้ประชาชน
ข้อเสนอ
1.พนักงานสอบสวนและอัยการควรทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2.การใช้เทคโนโลยี บันทึกเป็นภาพและเสียงในการสืบพยานในศาลทุกแห่ง ตอนนี้กำลังจะเริ่มต้นในศาลขนาดใหญ่ ใช้งบประมาณ 3 แสนบาทต่อห้อง
3.หากประเด็นเรื่อง แพะ กรมคุ้มครองสิทธิควรมาคุยกับอัยการและยื่นเรื่องต่อศาล เพื่อร่วมกันค้นหาความจริงว่าจะรื้อฟื้นคดีหรือไม่ หากให้พนักงานอัยการเป็นผู้ยื่นเรื่อง ศาลไม่ต้องไต่สวน เป็นการลดขั้นตอนได้มาก และระหว่างยื่นคำร้อง สังคมไม่ควรเรียกว่า “แพะ” จนกว่าศาลจะชี้ในที่สุด
4.ค่าทดแทนในพ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีควรมีการปรับปรุง เช่น โทษประหารชีวิต มีการเยียวยาเพียง 2 แสนบาท
ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
โดยหลักกฎหมายพนักงานสอบสวน (พนง.สส.) เป็นคนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด แล้วอัยการเป็นผู้กลั่นกรอง ถ้าตำรวจสอบตามแนวทางแบบที่ศาลใช้รับฟังพยานหลักฐาน รับรองว่าไม่มีทางได้ตัวผู้ต้องหามาลงโทษ มันต้องใช้จิตวิทยามากกว่ามาก ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ การรับฟังผู้ต้องหา แต่หลายต่อหลายคดีผู้ต้องหาไม่ให้การ “รายละเอียดขอให้การในชั้นศาล” แบบนั้นทำให้อัยการต้องสั่งฟ้องหมด เพราะไม่รู้จะพิจารณาอย่างไร
ในชั้นสอบสวนต้องยอมรับว่าบางที “ไม่ครบถ้วน” จริงๆ พอมาถึงอัยการ อัยการก็สั่งไม่ฟ้อง ผบ.ตร. ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค ก็มีนโยบายแย้งทุกเรื่องไม่ว่าศาลยกฟ้อง ลงโทษน้อย รอการลงโทษ มีเรื่องจำนวนมากส่งมายังสำนักงานชี้ขาดของอัยการสูงสุด ร้อยละ 20 พบว่า แย้งเพื่อให้อัยการสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม คำถามคือทำไมตำรวจไม่สอบมาตั้งแต่ต้น นี่ นอกจากนี้บางเรื่องการสอบสวนก็ไม่มีอารัมภบท การจะให้ศาลพิจารณาอย่างถี่ถ้วนต้องพูดในสำนวนด้วยว่าก่อนจะแทงจะยิงกันมีปัญหาอะไร แต่ก็เข้าใจว่าภาระงานของพนง.สส.หนักมาก ระบบการจ่ายสำนวนของพนง.สส.จะไม่เหมือนของอัยการของศาลที่ยังพิจารณาขีดความสามารถด้วย แต่ พนง.สส.นั้นหนักยิ่งกว่า แล้วเราก็พบข่าว พนง.สส.ยิงตัวตายทุกปี
ในส่วนของอัยการ ก็มีข้อบกพร่องกันตั้งแต่การวางเงื่อนไขรับพนักงานอัยการคือ กำหนดคุณสมบัติต้องเป็นทนาย ต้องว่าความหลายคดี แต่ความเป็นจริงคนไปขอเข้าชื่อร่วมเป็นทนายในคดี เราคิดว่าวางเงื่อนไขนี้จะได้คนมีประสบการณ์ แต่จริงๆ ไม่มี ต้องใช้เวลามากสอนงานกันใหม่ เราต้องทำให้อัยการว่าความอย่างมีคุณภาพ ใช้เวลาเกือบ 5 ปี แต่เดี๋ยวนี้เข้ามาใหม่ส่งไปต่างจังหวัดเลย เพราะคนไม่พอ ทำให้คุณภาพการทำสำนวนอาจไม่ละเอียดพอ อีกประการที่เป็นปัญหาคือ พนักงานอัยการถูกจำกัดโดยกำหนดเวลาที่ต้องฟ้องให้ทัน โดยส่วนตัวถ้าข้อเท็จจริงไม่ครบ ผู้ต้องหาครบฝากขังแล้วหากไม่ยื่นฟ้องหรือยื่นฟ้องไม่ทันต้องปล่อยก็ต้องเป็นเช่นนั้นไป อายุความยังอยู่ แต่อัยการใหม่ๆ จะกังวลเกรงว่าจะถูกลงโทษทางวินัย ทัศนคตินี้ติดมาตั้งแต่อดีต ว่า “ต้องทำให้ทันๆ”
“แล้วพนักงานสอบสวนงานเยอะ เวลาฝากขังกับศาลก็โกหกศาลตลอด เหลือ 4 ปาก เหลือ 5 ปาก ลองเปิดดู สอบอาทิตย์แรกก็เสร็จแล้ว 4-5 ปากแต่เขารอผลการพิสูจน์ลายนิ้วมือ มันก็เป็นเสียอย่างนี้ คือ เรายังทำงานไม่เป็นไปตามระบบ บางครั้งอาจต้องตำหนิผู้พิพากษาบ้าง เร่งรัดมากเกินไป แต่ที่ท่านเร่งรัดก็เพราะต้องการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา ตรงนี้ยังเป็นสิ่งที่เป็นปัญหายังจูนกันไม่ได้”
ข้อเสนอ
1. การสอบสวนควรต้องมีการบันทึกเทป เพื่อให้ทุกส่วนได้เห็นอากัปกริยาของผู้ต้องหา
2. ปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักกฎหมายว่าต้องทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ
3. สังคมต้องไม่กดดันกระบวนการยุติธรรม
4. กรณีแพะ กรมคุ้มครองสิทธิควรมาคุยกับอัยการและพนักงานสอบสวน ในเมื่อข้อบกพร่องเกิดจากรัฐก็ควรให้รัฐจัดการ ไม่ใช่เป็นภาระให้เจ้าตัวไปหาทนายมาจัดการ
พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ผกก. สน.ทุ่งสองห้องและเลขาธิการสมาคมพนักงานสอบสวน
ปัญหางานล้นนั้นเป็นประเด็นในทุกระดับ โดยเฉพาะพนักงานสอบสวน โดยมาตรฐานทั่วไป พนักงานสอบสวนควรทำ 70 คดีต่อปีต่อคน แต่บางสน.พนักงานสอบสวนทำ 300 คดีต่อปีต่อคน
ข้อเสนอ
1. ประเทศไทยออกกฎหมายมากมาย ข้อพิพาทของประชาชนก็มีมากมาย ทำให้งานของพนง.สส.มีมหาศาล อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจะเห็นว่าคดีอาญาหลายคดีนั้นน่าจะเป็นคดีแพ่ง แต่เมื่อกฎหมายบัญญัติให้เป็นคดีอาญาทำให้ต้องทำการสอบสวนทั้งหมด เป็นการเพิ่มภาระงานให้พนักงานสอบสวน นอกจากนี้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายังไม่มีการกำหนดเรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งจริงๆ แล้ว หลายเรื่องสามารถจบได้ตั้งแต่ชั้นตำรวจ น่าจะมีการกำหนดมาตรฐานการไกล่เกลี่ยในชั้นสอบสวนให้ตำรวจมีอำนาจตรงนี้เลย
2. ควรให้อำนาจพนักงานสอบสวนแบบอังกฤษหรือฝรั่งเศส ว่า จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานหรือไม่ แต่ไม่ได้ลบหรือจบคดี ต้องทำการสืบสวนต่อไป เพียงแต่สามารถคัดกรองทุ่มสรรพกำลังไปกับเรื่องที่สำคัญและมีความเป็นไปได้
3. พนักงานสอบสวนมีงานมาก ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)