สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15-21 ม.ค. 2560

 
ธุรกิจเรือประมงไทยส่ออาการหนัก ขาดแรงงานจอดตายเพียบ-ราคาปลาพุ่ง 6 เท่าตัว
 
เรือประมงไทยอาการหนัก แรงงานขาดแคลนต้องจอดเรือกันเพียบ ทั้งฝั่งอันดามัน อ่าวไทย และภาคตะวันออก เหตุโทษรุนแรงปรับถึงหัวละ 4 แสนบาท ออกเรือมีจำนวนแรงงานน้อยกว่าที่แจ้งล่วงหน้ายังถูกดำเนินคดีฟ้องศาล ขณะที่ ครม.เลื่อนการออกหนังสือ Seabook ให้แรงงานต่างด้าวจาก ม.ค.ไปกลาง มี.ค.นี้มีสิทธิ์ไม่ทันอีก
 
รายงานข่าวจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าจากการที่กรมประมงได้มีหนังสือถึงสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการให้เจ้าของเรือประมงพาณิชย์ขนาด 30 ตันกรอสขึ้นไป และขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป ที่ใช้เครื่องมืออวนลาก อวนล้อมจับ อวนครอบปลากะตัก และมีแรงงานบนเรือเป็นคนต่างด้าว ต้องไปยื่นขอมีหนังสือคนประจำเรือ (Seabook) โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน ภายหลังประกาศมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนมกราคมนี้ ทางสมาคมได้รับการร้องเรียนจากสมาชิกชาวประมงในหลายจังหวัด เกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนที่มีความล่าช้าและมีขีดจำกัด ซึ่งชาวประมงเกรงว่าแรงงานต่างด้าวจะได้รับหนังสือคนประจำเรือ(Seabook) ไม่ทันตามระยะเวลาตามที่กรมประมงกำหนด เนื่องจากจะเริ่มดำเนินการบังคับใช้ตามกฎหมายแล้วนั้นทางสมาคมจึงได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ฉัตรชัยสาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอขยายระยะเวลาการมีหนังสือคนประจำเรือ (Seabook) สำหรับแรงงานต่างด้าวออกไปอีก
 
รายงานข่าวกล่าวว่า ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง (ฉบับที่...) พ.ศ. ...ตามที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
 
โดยสาระสำคัญของร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ขยายเวลาในการกำหนดให้คนประจำเรือที่ทำงานอยู่ในเรือประมง ซึ่งเป็นคนต่างด้าว และยังไม่มีหนังสือคนประจำเรือ ต้องมีหนังสือคนประจำเรือ จากเดิมที่ต้องดำเนินการภายใน 120 วันนับตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับภายในวันที่ 12 มกราคม 2560 ออกไปเป็นวันที่ 15 มีนาคม 2560
 
นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากกรณีที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ให้ขยายระยะเวลาในการกำหนดให้คนประจำเรือที่ทำงานอยู่ในเรือประมงซึ่งเป็นคนต่างด้าว และยังไม่มีหนังสือ
 
คนประจำเรือให้มีหนังสือคนประจำเรือ (Seaman Book) จากเดิมที่ต้องมีการดำเนินการภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่มีผลใช้บังคับ (ภายใน 12 มกราคม 2560) เลื่อนออกไปเป็น 15 มีนาคม 2560 นั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการได้เข้ายื่นหนังสือมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯถึงปัญหาในการจดทะเบียน โดยอุปสรรคหลักคือเรื่องของภาษาในการสื่อสาร ขาดแคลนล่าม จึงทำให้ล่าช้า ทั้งนี้เร็ว ๆ นี้ตามกำหนดการเดิมในเดือนมกราคมนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กรมประมง ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม เพื่อหารือและรายงานความก้าวหน้าผลการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งจะมีประเด็นความคืบหน้าผลการบังคับคดีเรือประมงผิดกฎหมาย ศูนย์ PIPO การควบคุมจำนวนเรือขนถ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เนื่องจากเรื่องนี้เป็นระบบใหม่ กรมประมงมีการสั่งเครื่องมืออุปกรณ์มาทำงานเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ทำให้ระบบและเจ้าหน้าที่ยังไม่พร้อม สามารถออกหนังสือ Seabook ให้แรงงานต่างด้าวได้เฉลี่ยวันละ 40-50 คน วันที่ 12 มกราคมนี้ไม่ทันอย่างแน่นอน และคาดว่าวันที่ 15 มีนาคมศกนี้ก็คงไม่เรียบร้อยเช่นกัน
 
สถานการณ์ของเรือประมงไทยขณะนี้อาการหนักมาก ต้องมีเอกสารไว้ยื่นกับหลายหน่วยงาน ทั้งกรมประมง กรมเจ้าท่ากรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ศูนย์ตรวจสอบเรือเข้า-ออก (PIPO) และทหารเรือ กอปรกับไม่มีแรงงานใหม่ลงเรือ ทำให้เรือประมงต้องจอดตายนับร้อยลำที่ อ.กันตัง จ.ตรัง และอีกจำนวนมากที่สงขลา ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย และภาคตะวันออก เพราะหากถูกจับเรื่องแรงงานผิดกฎหมายจะถูกปรับถึงรายละ 4 แสนบาท ล่าสุด เรืออวนล้อมปลากะตัก นำแรงงานผิดกฎหมาย 14 คนจับปลาถูกจับที่ภาคตะวันออกรวมแล้วถูกปรับคิดเป็นเงินกว่า 5.6 ล้านบาทหรือหากแจ้งล่วงหน้าต่อ PIPO ว่าจะมีแรงงานบนเรือประมงออกจับปลา 15 คน เมื่อออกไปจับจริงแรงงานบนเรือเหลือ 12 คน เพราะแรงงานมีการโยกย้ายบ่อยมาก ก็จะจับดำเนินคดีส่งฟ้องศาล ทำให้เรือประมงสุดจะอดกลั้นในปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจำนวนมาก ในขณะที่การจ่ายค่าชดเชยการซื้อเรือคืนของภาครัฐก็ค่อนข้างช้า
 
ส่วนราคาสินค้าประมงก็ขยับขึ้นสูงมาก ปลาทูจากที่เคยซื้อตัวละ 5 บาท ก่อนแก้ IUU ขณะนี้ตัวละ 20-30 บาทแล้วแต่ขนาดปลาสด จากเดิม กก.ละ 60-70 บาท ก็ขยับเป็น กก.ละ 150 บาท เพราะเรือประมงไม่ออกทะเลจำนวนมาก ทำให้ห้องเย็นและโรงงานแปรรูปส่งออกในไทยต้องนำเข้าสัตว์น้ำจากมาเลเซียและอินเดียแทน
 
 
กสร.แนะนายจ้างตั้ง "สหกรณ์ออมทรัพย์" ช่วยลูกจ้างออม ป้องกันกู้หนี้นอกระบบ
 
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานจำนวนมากมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายและกู้เงินนอกระบบ มีหนี้สินจนส่งผลกระทบต่อการงาน ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จากปัญหาดังกล่าว พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้ กสร.เร่งดำเนินการส่งเสริมให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้ที่เพียงพอต่อรายจ่าย กสร.จึงได้น้อมนำแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยนำมาเป็นหลักในการส่งเสริมให้สถานประกอบการจัดสวัสดิการด้านเศรษฐกิจให้กับผู้ใช้แรงงาน ผ่านโครงการส่งเสริมให้จัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงาน ในการสร้างเสริมวินัยในการใช้จ่าย รู้จักพอประมาณ ความมีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกันด้วยการออม ในกรณีที่มีความขัดสนเรื่องค่าใช้จ่ายลูกจ้างก็สามารถจะกู้ยืมเงินผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกันและเสียดอกเบี้ยในอัตราถูก ซึ่งจะเป็นหนทางในการป้องกันปัญหาการกู้ยืมเงินนอกระบบของลูกจ้าง
 
นายสุมเธ กล่าวว่า กสร.มีกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานวงเงิน 260 ล้านบาท ไว้ให้บริการแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการกู้ยืมเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ นายจ้างเจ้าของสถานประกอบการที่สนใจสอบถามได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กสร. หรือโทร.สายด่วน 1546 อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างให้ความสำคัญกับการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการแล้ว ลูกจ้างเองก็ต้องให้ความสำคัญและตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนี้สินของตนเอง พร้อมน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ไปปฎิบัติใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดเป็นนิสัยจนสามารถปลดหนี้และมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นตามศาสตร์พระราชา
 
 
ประกันสังคมเตือนนายจ้างแจ้งเข้า-ออกลูกจ้างตรงเวลาที่กำหนด
 
สำนักงานประกันสังคมจังหวัดแพร่ แจ้งเตือนให้นายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างทุกครั้ง ที่ลูกจ้างมีการเข้าทำงานภายใน 30 วัน และแจ้งออกจากงาน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยส่งข้อมูลผ่าน www.sso.go.th เพื่อความสะดวก รวดเร็วแก่นายจ้าง
 
นางนาฏน้อย เอิบสุขสิริ ประกันสังคมจังหวัดแพร่ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมพบว่ามีสถานประกอบการหลายแห่งรับลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนเข้าทำงาน หรือมีผู้ประกันตนออกจากงานไปแล้ว แต่ไม่ได้เนินการแจ้งขึ้นทะเบียนหรือแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนต่อสำนักงานประกันสังคมภายในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ฐานข้อมูลผู้ประกันตนซึ่งเป็นข้อมูลหลักที่ใช้ในการปฏิบัติงานไม่ถูกต้องเป็นปัจจุบัน ส่งผลกระทบให้ผู้ประกันตนไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนหรือได้รับประโยชน์ทดแทนล่าช้า หรือเป็นเหตุให้สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนเกินสิทธิของผู้ประกันตน
 
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการคุ้มครองสิทธิให้แก่ผู้ประกันตนและไม่ให้เกิดความผิดพลาดการจ่ายเงินกองทุนประกันสังคม กรณีการรับลูกจ้างเข้าทำงาน ขอให้นายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน ส่วนกรณีลูกจ้างออกจากงาน ให้นายจ้างแจ้งการสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากพบว่านายจ้างรายใดมีเจตนาแจ้งเข้าออกล่าช้า จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
 
ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว นายจ้างสามารถส่งข้อมูลงานทะเบียนโดยทำรายการผ่านทาง www.sso.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประสังคมจังหวัดแพร่ หมายเลขโทรศัพท์ 0 5452 2231-2 ต่อ 117-119 หรือ โทรสายด่วนประกันสังคม 1506
 
 
ก.แรงงาน ไฟเขียว 90 ล้าน จ้างงานเร่งด่วนออก กม.จ่ายเงินทดแทนเยียวยาลูกจ้างภายหลังน้ำลด
 
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน แถลงว่าที่ประชุมกระทรวงเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงานในการฟื้นฟูภายหลังน้ำลด ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยใน 12 จังหวัดภาคใต้ โดย พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์และให้สำรวจข้อมูลสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งพบว่า มีสถานประกอบกิจการในพื้นที่ 12 จังหวัด 42,330 แห่ง ลูกจ้าง 1,094,360 คน สถานประกอบการได้รับผลกระทบ 8,753 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ 127,018 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ม.ค.60)
 
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า มาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด ประกอบด้วย 1) บริการการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ รถจักรยานยนต์ เครื่องมือทางการเกษตร โดยทีมช่าง จะให้บริการซ่อมฟรีที่สถาบัน/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานแต่ละจังหวัด 2) การฝึกอบรมให้กับลูกจ้าง ประชาชนเพื่อให้สามารถนำความรู้ไปซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า และปรับปรุงสภาพแวดล้อมบ้านเรือนของตนเองได้ อาทิ การก่ออิฐ ฉาบปูน การปูกระเบื้อง โดยเป็นหลักสูตรระยะสั้น 3-5 วัน ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 100 บาท 3) การจ้างงานเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูบ้านเรือนหรือชุมชนในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนภายหลังน้ำลด ซึ่งดำเนินการตามความต้องการของชุมชน โดยมีค่าตอบแทนให้คนละ 150 บาท สำหรับการทำงาน 4 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้จัดสรรงบประมาณไว้แล้วรวม 90 ล้านบาท
 
มาตรการที่ 4) คณะกรรมการประกันสังคมมีมติเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 60 ให้นายจ้างจ่ายสมทบ 3% และลูกจ้างจ่ายสมทบ 3 % จากเดิม 5 % เป็นเวลา 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.60) ส่วนลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งออกจากงานไปแล้ว แต่ยังอยู่ในระบบประกันสังคมจะจัดเก็บเงินสมทบในอัตราเดือนละ 288 บาท นอกจากนี้ ยังขยายเวลาการจ่ายเงินสมทบโดยไม่เสียค่าปรับ ในกรณีที่ไม่สามารถนำส่งได้ทันกำหนด รวมทั้งการจ่ายเงินทดแทนการว่างงานให้กับผู้ประกันตน เตรียมออกกฎหระทรวง ให้สามารถจ่ายเงินทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย จนต้องหยุดกิจการชั่วคราว จะจ่ายเงินให้ลูกจ้างในอัตราร้อยละ 50 บาทไม่เกิน 180 วัน โดยจ่ายให้ตามจริงกับวันที่สถานประกอบการหยุดงาน ขณะนี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล
 
รมว.แรงงานได้ลงนามในกฎกระทรวงแล้ว อยู่ระหว่างการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ 5) การให้กู้เงินฟื้นฟู สถานประกอบการกู้เพื่อฟื้นฟูความปลอดภัยวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ผ่อนชำระไม่เกิน 5 ปี 6) ตรวจสอบความปลอดภัยในสถานประกอบการ เพื่อแนะนำให้ปรับปรุงแก้ไขถูกต้องและปลอดภัยก่อนเริ่มใช้งาน 7) มาตรการสำรวจผลกระทบ ความต้องการประกอบอาชีพ โดยมีรถโมบายยูนิตไปสำรวจในพื้นที่ประสบภัย เพื่อจัดอบรมฝึกอาชีพอิสระระยะสั้นให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองได้
 
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ประชาชนทั่วไป สามารถขอรับบริการความช่วยเหลือ โดยสามารถติดต่อหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้ที่สำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบัน/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสำนักงานประกันสังคมทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สายด่วนประกันสังคม 1506 และสายด่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1546
 
 
กลุ่มแรงงานพม่าร้องเรียนจัดหางานเชียงใหม่ โวยถูกนายหน้าหลอกเงิน-วอนช่วย
 
(16 ม.ค. 60) ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มแรงงานสัญชาติพม่า 18 คน นำโดยนางมิ้น (ไม่มีนามสกุล) รวมตัวเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนและขอความช่วยเหลือต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีที่ถูกนายศรีวรรณ (ไม่มีนามสกุล) สัญชาติพม่า ที่เป็นอ้างตัวว่าเป็นนายหน้าจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง หลอกให้จ่ายเงินคนละ 16,000 บาท เพื่อให้ได้สถานะการนำเข้าแรงงานด่างด้าวตามเอ็มโอยู แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามนั้น อยากขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบและดำเนินการลงโทษ พร้อมกับเรียกเงินคืนให้กับแรงงานที่ถูกหลอก โดยมีนายจักรี หุ่นโพธิ์ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว
 
ทั้งนี้ นายสายทิพย์ อาวัน เจ้าหน้าที่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา เปิดเผยว่า การยื่นหนังสือในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มนางมิ้นพร้อมด้วยแรงงานสัญชาติพม่าอีก 17 คน เป็นชาวพม่าที่ได้ถือบัตรสีชมพูที่ทางรัฐบาลผ่อนผันให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทย บางคนถือบัตรพาสปอร์ตสีม่วง มีวีซ่า หากออกนอกประเทศไทยโดยไม่มีการแสตมป์อย่างถูกต้องจะไม่สามารถกลับเข้าประเทศไทยได้อีก
 
ดังนั้น จึงอยากที่จะทำงานอยู่ในไทยอย่างถูกต้องในระยะยาว ซึ่งนายศรีวรรณได้อ้างตัวว่าเป็นนายหน้าจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งว่าสามารถดำเนินการในการนำเข้าแรงงานอย่างถูกกฎหมาย และจะต่ออายุทุก 4 ปีได้ ดังนั้นจึงได้ติดต่อว่าจ้างนายศรีวรรณให้ดำเนินการประสานงานเพื่อให้กลุ่มของนางมิ้นได้สถานะการนำเข้าแรงงานด่างด้าวตามเอ็มโอยู โดยทางบริษัทได้คิดค่าดำเนินการคนละ 16,000 บาท ทางกลุ่มของนางมิ้นจึงได้ตัดสินใจจ่ายให้นายศรีวรรณเพื่อต้องการที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
ทั้งนี้ หลังจากที่ชำระเงินเสร็จสิ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 60 นายศรีวรรณได้นำแรงงานทั้งหมดเดินทางไปทำหนังสือเดินทางที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า ส่วนนางมิ้นได้เดินทางกลับมาทำงานยังจังหวัดเชียงใหม่
 
จากนั้นภายหลังนางมิ้นได้รับแจ้งจากกลุ่มเพื่อนแรงงานว่าได้มีแรงงานสัญชาติพม่าอีก 12 คนซึ่งได้ประสานงานกับนายศรีวรรณ เพื่อดำเนินการให้ได้สถานะแรงงานนำเข้าตามเอ็มโอยู โดยได้จ่ายเงินจำนวนเดียวกัน และนายศรีวรรณได้พาไปทำหนังสือเดินทางที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า แต่ถูกนายศรีวรรณปล่อยทิ้งไว้ในย่างกุ้งโดยไม่มีเงินเหลือติดตัว จึงได้พยายามติดต่อบริษัทดังกล่าวเพื่อจะสอบถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และจะสอบถามความคืบหน้าของการขอวีซ่าและใบอนุญาต แต่ไม่สามารถติดต่อได้และได้พยายามติดต่อนายศรีวรรณก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน จึงเชื่อว่าน่าจะถูกหลอก และได้ติดต่อประสานให้ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาช่วยเหลือดังกล่าว
 
ด้านนายจักรี หุ่นโพธิ์ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เบื้องต้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับหนังสือดังกล่าวและจะได้มีการสอบถามข้อมูลจากผู้เสียหายเพิ่มเติม รวมถึงตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดเพื่อที่จะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
สำหรับสถานะการนำเข้าแรงงานด่างด้าวตามเอ็มโอยู เกิดจากการที่รัฐบาลไทยและพม่าได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู เรื่องความร่วมมือในการจ้างงานแรงงานข้ามชาติชาวพม่าที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ทำการเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติเพื่อที่จะทำให้พวกเขาได้มีสถานะเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นกรอบการดำเนินการที่ จะทำให้แรงงานด่างด้าว สามารถเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
 
กนร.เห็นชอบให้ต่ออายุใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำที่จะหมดอายุ
 
นายสิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า วันนี้ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๐) ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุม ศ. นิคม จันทรวิทุร ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน นั้น ที่ประชุมได้พิจารณาปัญหาการตรวจสัญชาติของแรงงานในกิจการประมงทะเลที่ใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ และแรงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำที่ใบอนุญาตทำงาน จะหมดอายุในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรและการอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเลและแรงงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำที่เป็นแรงงานคนเดิมออกไปอีกถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เพื่อให้สอดคล้องกับการตรวจสัญชาติของประเทศต้นทาง ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของแรงงานต่างด้าวที่อายุ ไม่เกิน ๑๘ ปี กรณีเกิน ๑๘ ปี อนุญาตให้ทำงานได้ตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ไม่อนุญาตให้แรงงานที่อายุเกิน 55 ปีทำงาน โดยให้ดำเนินการ ณ สถานที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน หรือดำเนินการในลักษณะศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดย ๒๒ จังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเล ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารจัดการตามความเหมาะสม สำหรับกรุงเทพมหานครให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ และสิ้นสุดการดำเนินการในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ และให้ใบอนุญาตทำงานหมดอายุในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เท่ากัน เพื่อให้ดำเนินการตรวจสัญชาติให้แล้วเสร็จ สำหรับแรงงานที่ผ่านการตรวจสัญชาติให้ขอรับการตรวจลงตรา (Visa) และขออนุญาตทำงานโดยเร็ว
 
กรณีแรงงานประมงทะเลที่ไม่สามารถเข้าฝั่งได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด ๒๒ จังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลภายในกำหนดก่อน และเมื่อแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้าฝั่งเมื่อใดให้ไปตรวจสุขภาพ ประกันสุขภาพ รายงานตัว และขออนุญาตทำงานภายใน ๓๐ วัน สำหรับแรงงานในกลุ่มประมงทะเลและแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งใบอนุญาตทำงานหมดอายุก่อนวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และได้รับอนุญาตให้เปลี่ยน/เพิ่มการทำงานในตำแหน่ง ช่างเครื่องยนต์ในเรือประมงทะเล และตำแหน่งผู้ประสานงานด้านภาษากัมพูชา ลาว เมียนมา อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตให้ทำงานได้ต่อไปจนถึงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ โดยให้ดำเนินการยื่นบัญชีรายชื่อ ตรวจสุขภาพ ประกันสุขภาพ จัดทำทะเบียนประวัติ และขออนุญาตทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในกลุ่มประมงทะเล และแรงงานในกลุ่มแปรรูปสัตว์น้ำ
 
รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้สั่งการเพิ่มเติม ดังนี้
 
1.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามแนวทางที่คณะกรรมการเห็นชอบ โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
2.การขยายระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรและการทำงานของแรงงานในกิจการประมงทะเล และแรงงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ เป็นการดำเนินการกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่เคยทำงานในประเทศไทยให้ทำงานต่อไปได้ ไม่ใช่การเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรายใหม่ ขอให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดีกับนายจ้าง ผู้นำพาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาทำงานอย่างเคร่งครัด
 
3.ขอให้ประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้ให้นายจ้างที่มีความต้องการแรงงานให้นำเข้าแรงงานย่างถูกกฎหมายตาม MOU ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดการควบคุมตรวจสอบ ห้องกันการหลอกลวงจากสาย นายหน้า และกำหนดอัตราค่าบริการจากบริษัทนำเข้าแรงงานอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
 
นอกจากนั้น ให้มีการจัดให้แรงงานต่างด้าวมีที่พักที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันและแก้ไขการถูกกล่าวหาว่ามีการละเลยต่อแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและอาจสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาการค้ามนุษย์
 
 
จ๊อบส์ ดีบี ชี้ธุรกิจผลิตอาหารสุขภาพ บริการการแพทย์ สื่อดิจิทัล ท่องเที่ยว ต้องการแรงงานสูง
 
บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ในปีนี้ธุรกิจผลิตอาหารสุขภาพ บริการการแพทย์ สื่อดิจิทัล และท่องเที่ยว ยังต้องการแรงงานสูง ยกเว้นสิ่งพิมพ์ น.ส.นพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปีนี้คาดมี 4 กลุ่มธุรกิจซึ่งมีแนวโน้มต้องการแรงงานเข้าสู่ตลาดมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ การให้บริการทางการแพทย์ ธุรกิจเกี่ยวกับสื่อดิจิทัล และท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มที่แนวโน้มความต้องการแรงงานไม่สดใส คือ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ และตัวแทนรับจองตั๋วโดยสารหรือทัวร์
 
สำหรับธุรกิจผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ ต้องการแรงงานมากเพราะกระแสรักษาสุขภาพมาแรง คนคำนึงถึงการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจนี้โตได้ดี ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรืออาหารเสริม ส่วนธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ ต้องการแรงงานสูงเนื่องจากโรคภัยต่างๆ ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อน และยังมีโรคภัยที่เกิดจากพฤติกรรม การใช้ชีวิตของคนบางกลุ่มสมัยนี้ เช่น ออฟฟิศซินโดรม โรคเครียด กรดไหลย้อน อีกทั้งการใช้บริการการแพทย์เพื่อการป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ และเพื่อความสวยงามก็ได้รับความนิยมต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการศัลยกรรมความงาม
 
ด้านธุรกิจเกี่ยวกับสื่อดิจิทัล ต้องการแรงงานมากเพราะการรับข้อมูลและข่าวสารผ่านสื่อดิจิทัลนิยมแพร่หลาย ตามการเติบโตของเทคโนโลยีและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ผู้ผลิตสื่อแบบดั้งเดิม ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หรือสิ่งพิมพ์ต้องปรับตัวก้าวมาผลิตสื่อดิจิทัลมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจยังดำเนินต่อได้ ส่วนธุรกิจท่องเที่ยว ต้องการแรงงานมากเพราะเป็นธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตดี จากการสนับสนุนของรัฐบาล ทั้งด้านคนไทยเที่ยวไทย และต่างชาติเที่ยวไทย
 
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการคมนาคมสะดวกขึ้น มีสายการบินต้นทุนต่ำเกิดมาก ทำให้คนไทยนิยมเที่ยวในวันหยุดมากขึ้น ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริการทัวร์เติบโตตาม ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่แนวโน้มความต้องการแรงงานลดลง เช่น สิ่งพิมพ์ เพราะอินเทอร์เน็ตเติบโต และการใช้สมาร์ทโฟนรับสื่อ บริโภคข่าวสารในชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่วนตัวแทนรับจองตั๋วโดยสารหรือทัวร์ ต้องการแรงงานลดลง เนื่องจากธุรกิจนี้ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยบริการออนไลน์
 
 
ก.แรงงานจัดทำแบบทดสอบวัดบุคลิกภาพเตรียมแรงงานพร้อมสู่ตลาด
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เผยถึงการที่กรมการจัดหางานได้จัดทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ IQ และ EQ เพื่อประมวลผลและศักยภาพของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และผู้ว่างงาน ผ่านระบบออนไลน์ รองรับการเตรียมความพร้อมของตลาดแรงงาน พบมีผู้ใช้บริการวัดบุคลิกภาพเพื่อเลือกการศึกษาต่อและอาชีพมากกว่า 4 แสนคน จากผู้ใช้บริการมากกว่า 1 ล้านคน
 
นายสิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ให้เตรียมความพร้อมแก่กำลังแรงงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้เปิดให้บริการระบบบริการด้านการส่งเสริมการมีงานทำ (VGNEW e-Services) ซึ่งเป็นระบบที่จะช่วยบันทึกการวางแผนอาชีพ และบริการทดสอบต่างๆ ได้แก่ การวัดบุคลิกภาพเพื่อการศึกษาต่อและการเลือกอาชีพ การทดสอบ IQ และ EQ เพื่อตอบรับนโยบายของรัฐบาล
 
ทั้งนี้ จากเดิมที่รัฐบาลได้กำหนดให้มีการแนะแนวการศึกษาและอาชีพก่อนสำเร็จการศึกษาตามกระบวนการแนะแนวกับทุกคนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) ถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.6) ครั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับการเตรียมความพร้อมรองรับตลาดแรงงาน
 
ทางกระทรวงแรงงานจึงได้จัดทำแบบทดสอบศักยภาพครบทุกขั้นตอนตั้งแต่ทดสอบไปจนถึงประมวล โดยให้บริการผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อย่างนักเรียน นักศึกษา และผู้ว่างงาน และยังเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่อาจารย์ที่นำไปใช้ได้ง่ายขึ้น
 
อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวต่อว่า ระบบบริการด้านการส่งเสริมการมีงานทำจะช่วยให้ผู้ผ่านการทดสอบได้ทราบถึงบุคลิกภาพ และความถนัดของตนเอง โดยสามารถนำไปใช้ในการวางแผนการศึกษาต่อ หรือประกอบอาชีพในอนาคต ช่วยเพิ่มโอกาสการมีงานทำอย่างมีความสุขและยั่งยืน รวมทั้งลดอัตราการว่างงานในอนาคต
 
โดยบริการดังกล่าวได้มีการเปิดใช้ระบบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558-31 ธันวาคม 2559 และมีผู้ใช้บริการ 1,429,584 คน เป็นผู้ใช้บริการแบบวัดบุคลิกภาพเพื่อการศึกษาและเลือกอาชีพ 467,618 คน โดยแบ่งเป็นชาย 163,756 คน หญิง 303,834 คน จังหวัดและหน่วยงานที่มีผู้ใช้บริการสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขอนแก่น กองส่งเสริมการมีงานทำ นครราชสีมา และบุรีรัมย์
 
นอกจากนี้ ปัจจุบันกรมการจัดหางานยังได้เพิ่มแบบสำรวจเพื่อนำข้อมูลของผู้ผ่านการทดสอบในระดับ ม.3 และ ม.6 มาวิเคราะห์แนวโน้มการศึกษาต่อและการเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนด้านกำลังแรงงานต่อไป
 
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการระบบทดสอบสามารถทดสอบได้ทางเว็บไซต์ www.doe.go.th/VGNEWe-Services ระบบบริการด้านการส่งเสริมการมีงานทำ ของกรมการจัดหางาน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
 
 
กรมจัดหางานพักชำระหนี้ 6 เดือนลูกหนี้เงินกองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน
 
นายสิงหเดช ชูอำนาจ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีมติช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ประสบอุทกภัยใน 12 จังหวัดภาคใต้ คือ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งจากข้อมูลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พบว่ามีสถานประกอบการได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจำนวน 8,753 แห่ง และลูกจ้างได้รับผลกระทบจำนวน 127,018 คน โดยจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นครศรีธรรมราช ซึ่งมีสถานประกอบการได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจำนวน 4,419 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นจำนวน 52,319 คน รองลงมาคือจังหวัดชุมพร มีสถานประกอบการได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจำนวน 2,678 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นจำนวน 31,597 คน
 
ดังนั้นจากผลกระทบดังกล่าว พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานหามาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบอุกทกภัยเป็นการเร่งด่วน ซึ่งในส่วนของกรมการจัดหางานได้มีมาตรการพักชำระหนี้แก่ลูกหนี้เงินกองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้านเป็นระยะเวลา 6 เดือน และไม่คิดดอกเบี้ยในระหว่างการพักชำระหนี้ ซึ่งจากเดิมคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยเบื้องต้นพบว่าผู้ประสบภัยในภาคใต้ส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านโดยมีกลุ่มผู้รับงานไปที่บ้านประสบปัญหา จำนวน 23 กลุ่ม
 
อนึ่ง กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2548 มีผลการดำเนินการปล่อยกู้ไปแล้ว จำนวน 303 กลุ่ม เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 27,261,000 บาท และในปี 2560 กองทุนฯได้ประมาณการปล่อยกู้ไว้จำนวน 50 กลุ่ม เป็นวงเงินที่สามารถปล่อยกู้ได้รวม 5,000,000 บาท ทั้งนี้ อาจมีการขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
 
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่า ผู้ประสบภัยที่ว่างงานและต้องการรับงานไปทำที่บ้านสามารถติดต่อและลงทะเบียนหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการรับงานไปทำที่บ้านได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือโทรสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สำหรับลูกจ้างที่ประสบภัยสอบถามข้อมูลการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายได้ที่ สายด่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
 
 
เด็กรุ่นใหม่ชอบฟรีแลนซ์! ซิสโก้ห่วงคนไอทีขาดตลาด หนุนสถานศึกษาปั้นแรงงาน
 
นางสาวแซนดี้ วอลช์ ผู้อำนวยการด้านการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม ซิสโก้ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า นอกจากการขยายธุรกิจและรายได้ ซิสโก้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ 1.การเร่งสร้างแรงงานคน 2.การพัฒนาสู่ภาคอุตสาหกรรม 3.การช่วยเหลือสังคม ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรบุคลากรด้านไอทีของประเทศไทย และเสริมสร้างศักยภาพแก่บุคลากรได้
 
ในระยะเวลากว่า 18 ปีที่ผ่านมา ซิสโก้มีความร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการศึกษาในไทยกว่า 56 แห่ง ในโครงการซิสโก้ เน็ตเวิร์กกิ้ง อะคาเดมี่ เพื่ออบรมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษาสำหรับเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบุคลากรในอุตสาหกรรมไอที  ซึ่งสามารถผลิตบุคลากรไปแล้วกว่า 41,000 คน ควบคู่กับการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐอีกด้วย"
 
ทั้งนี้ ซิสโก้ยังได้เพิ่มเติมหลักสูตรในโครงการต่างๆ เพื่อเสริมศักยภาพบุคลากรในสายไอทีให้รองรับเทรนด์การใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมถึงหลักสูตรอื่นๆ ให้มีความหลากหลาย อาทิ หลักสูตรลีนุกซ์ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IoT (Internet of Things) ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนบุคลากรในสายงานไอทีอีก 30,000 คน ภายใน 5 ปีจากนี้
 
นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนที่มีการปรับใช้หลักสูตรใหม่เกี่ยวกับ IoT โดยปัจจุบันมีนักศึกษาราว 120 คน ที่จบหลักสูตรความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IoT ขณะเดียวกันซิสโก้ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดหลักสูตรด้าน IoT ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้
 
อย่างไรก็ตาม ซิสโก้วางแผนขยายหลักสูตรในการอบรมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมสู่สายอาชีพด้านไอทีมากกว่าการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เนื่องจากต้องการให้หลักสูตรต่างๆ มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ก็มีการสนับสนุนให้เพิ่มจำนวนบุคลากรผู้หญิงในอุตสาหกรรมไอทีให้มากขึ้นด้วย
 
"ความร่วมมือระหว่างซิสโก้และสถานศึกษานั้นยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาบุคลากรด้านไอที บริษัทอยากให้ภาครัฐ สถานศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ให้ความสนใจและร่วมกันสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง อาทิ สนับสนุนการลงทุน เพิ่มความเข้มข้นในหลักสูตรด้านไอที เป็นต้น เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีต่อทุกสายอาชีพ"
 
นายพิสิษฐ์ ชาญเกียรติก้อง คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า ในปี 2559 งานด้านไอทีถือเป็นอาชีพที่มีการจ้างงานสูงเป็นอันดับที่ 3 รองจากงานขายและบัญชี โดยสายงานด้านวิศวกรซอฟต์แวร์และด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลถือเป็นสายงานที่มีความต้องการจ้างงานมากที่สุด แต่ปัจจุบันประเทศไทยกลับอยู่ในภาวะขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีและทักษะด้านดิจิตอล
 
"คนรุ่นใหม่มีค่านิยมประกอบอาชีพอิสระ ทำให้มีการเลือกเรียนในสายไอทีน้อยลง ประกอบกับหลักสูตรด้านไอทีในสถาบันการศึกษาหลายๆ แห่งยังไม่ได้มาตรฐาน โดยผลการสำรวจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) ระบุว่าไทยสามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพไม่ได้เกิน 2,000 คนต่อปี ซึ่งอาจทำให้ทั่วโลกเกิดภาวะขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีราว 2 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2566 ตามที่ IDC คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างสถาบันฯ กับซิสโก้ จะสามารถเพิ่มโอกาสเข้าสู่สายอาชีพในอุตสาหกรรมไอทีแก่นักศึกษาที่ผ่านโครงการและหลักสูตรดังกล่าวได้เป็นอย่างดี"
 
 
ส.อ.ท.-นิด้าโพล เผยผล CEO Survey มองแนวโน้มศก.-ทิศทางภาคอุตฯ ปี 60 ยังทรงตัว ชี้เอกชนยังขาดความเชื่อมั่น
 
นายกำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เผยผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในปี 2560 จากผู้บริหารระดับสูง (CEO Survey) ส่วนใหญ่ 48.98% ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2560 ยังอยู่ในภาวะทรงตัว รองลงมา 34.69% เชื่อว่ามีแนวโน้มขยายตัว ส่วนที่เหลืออีก 16.33% เชื่อว่าหดตัว
 
ในจำนวนผู้บริหารระดับสูงที่เชื่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะขยายตัวนั้น ส่วนใหญ่ 70.59% ระบุว่าจะขยายตัว 1-5% ตามด้วย 5.88% ระบุว่าจะขยายตัว 6-10%, 5.88% ระบุว่าจะขยายตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป และอีก 17.65% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงที่เชื่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2560 จะหดตัวนั้น ส่วนใหญ่ 37.50% ระบุว่าจะหดตัว 1-10% ตามด้วย 25.00% ระบุว่าจะหดตัว 11-20%, 12.50% ระบุว่าจะหดตัวมากกว่า 20% ขึ้นไป และอีก 25.00% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
 
ขณะที่การคาดการณ์ของผู้บริหารระดับสูงต่อแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมในปี 2560 นั้น ส่วนใหญ่ 46.94% คาดว่าจะทรงตัว รองลงมา 30.61% คาดว่าจะขยายตัว ส่วนที่เหลืออีก 22.45% คาดว่าหดตัว
 
ในจำนวนผู้บริหารระดับสูงที่คาดการณ์แนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมในปี 2560 จะขยายตัวนั้น ส่วนใหญ่ 66.67% ระบุว่าจะขยายตัว 1-5% ตามด้วย 13.33% ระบุว่าจะขยายตัว 6-10%, 13.33% ระบุว่าจะขยายตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป และอีก 6.67% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงที่เชื่อของภาคอุตสาหกรรมในปี 2560 จะหดตัวนั้น ส่วนใหญ่ 45.45% ระบุว่าจะหดตัว 1-10% ตามด้วย 27.28% ระบุว่าจะหดตัว 11-20%, 9.09% ระบุว่าจะหดตัวมากกว่า 20% ขึ้นไป และอีก 18.18% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
 
สำหรับปัจจัยบวกที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2560 นั้น ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ 57.14% ระบุว่าเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รองลงมา 51.02% ระบุว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ ตามด้วย 38.78% ระบุว่าเป็นภาคการท่องเที่ยว, 30.61% ระบุว่าเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ, 26.53% ระบุว่าเป็นสถานการณ์ทางการเมือง, 20.41% ระบุว่าเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก กำลังซื้อในประเทศดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และ 12.24% ระบุอื่นๆ ได้แก่ ภาคการส่งออกขยายตัว การลงทุนด้านภาคการเกษตร ราคาพืชผลทางการเกษตร และค่าแรงสูงขึ้น
 
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความกังวลในการดำเนินกิจการในปี 2560 ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ 42.86% ระบุว่าเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รองลงมา 40.82% ระบุว่าเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความผัวผวนของตลาดเงินจากความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ และกระบวนการในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร รวมถึงกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามด้วย 34.69% ระบุว่าเป็นความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร, 32.65% ระบุว่าเป็นการขาดแคลนแรงงานฝีมือ, 30.61% ระบุว่าเป็นปัญหาสภาพคล่องของกิจการ, 24.49% ระบุว่าเป็นการขาดเทคโนโลยีการผลิตและการพัฒนานวัตกรรม, 22.45% ระบุว่าเป็นสถานการณ์ทางการเมือง และ 18.37% ระบุอื่นๆ ได้แก่ นโยบายของภาครัฐ ปัจจัยการนำเข้าและส่งออก ต้นทุนการผลิต ค่าแรงขั้นต่ำ อัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาท และการก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0
 
โดยผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ 91.84% ระบุว่ามีการวางแผนและมีแนวทางรับมือ ส่วนที่เหลือ 8.16% ระบุว่ายังไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนมากนักจากช่วงครึ่งหลังของปี 2559 และในจำนวนผู้บริหารระดับสูงที่ระบุว่ามีการวางแผนและมีแนวทางรับมือนั้นส่วนใหญ่ 44.44% ระบุว่ามีการวางแผนปรับปรุงเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต รองลงมา 37.78% ระบุว่ามีการพัฒนาศักยภาพแรงงาน ตามด้วย 28.89% ระบุว่ามีการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ, 26.67% ระบุว่าชะลอการลงทุน, 24.44% ระบุว่ามีการเจาะตลาด Niche Market, 20.00% ระบุว่ามีการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา, 15.56% ระบุว่าเป็นการขยายการลงทุน, 11.11% ระบุว่ามีการขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ, 6.67% ระบุว่ามีการลดการจ้างงาน, 2.22% ระบุว่าเพิ่มการจ้างงาน และ 15.56% ระบุอื่นๆ ได้แก่ การปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจโลก การลดต้นทุนการผลิต การหาหุ้นส่วนเพิ่มเติม
 
สาเหตุการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ขยายตัวได้มากเท่าที่ควรนั้น ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ 64.58% ระบุว่าขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ รองลงมา 45.83% ระบุว่าขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ตามด้วย 39.58% ระบุว่าภาคการส่งออกหดตัวต่อเนื่อง, 29.17% ระบุว่าสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน นโยบายกระตุ้นและเร่งรัดการลงทุนยังไม่เอื้ออำนวยเพียงพอ, 22.92% ระบุว่าภาคเอกชนยังมีกำลังการผลิตเพลือค่อนข้างมาก และ 18.75% ระบุอื่นๆ ได้แก่ กำลังซื้อในประเทศ สถาบันการเงินไม่ตอบสนองเรื่องการลงทุนของเอกชน, สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ
 
สำหรับข้อเสนอแนะของผู้บริหารระดับสูงเพื่อให้การลงทุนภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1.รัฐบาลควรพัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และก้าวเข้าสู่ Industries 4.0 2.หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายจากภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ความยืดหยุ่นของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาสำหรับผู้ประกอบการ 3.รัฐบาลควรเร่งพัฒนาวางระบบโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม
 
สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงต้องการให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2560 ผู้บริหารส่วนใหญ่ 71.43% ระบุว่า ภาครัฐควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รองลงมา 48.98% ระบุว่า ภาครัฐควรเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ตามด้วย 40.82% ระบุว่า ภาครัฐควรสนับสนุนการขยายตลาดเข้าสู่หัวเมืองรองในกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อขยายฐานลูกค้าและกระจายสินค้าให้มากขึ้น, 32.65% ระบุว่า ภาครัฐควรเร่งเจรจาการค้ากับประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อขยายตลาด ลดอุปสรรคทางการค้าและมาตรการกีดกันสินค้าที่มิใช่ภาษี และเพิ่มช่องทางการส่งออก, 30.61% ระบุว่า ภาครัฐควรพัฒนาการค้าและการขนส่งชายแดนและผ่านแดนเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าตามแนวชายแดน และ 24.49% ระบุอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ, การคงอัตราค่าแรงขั้นต่ำ, การปรับปรุงกฎหมายที่ซ้ำซ้อน, การสนับสนุนนโยบายจากภาครัฐ, การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคเอกชน, และการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs
 
ด้านความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อทิศทางภาวะเศรษฐกิจโลก ภายหลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 45 ของสหรัฐฯ พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ 40.82% ระบุว่าจะทรงตัว รองลงมา 22.45% ระบุว่าจะขยายตัว 26.53% ระบุว่าจะหดตัว ส่วนที่เหลืออีก 10.20% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่าทิศทางภาวะเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวนั้น 45.45% ระบุว่าจะขยายตัว 1-5%, 9.09% ระบุว่า ขยายตัว 6-10%, 18.18% ระบุว่าจะขยายตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป และ 27.28% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจว่าจะขยายตัวเท่าใด ส่วนผู้ที่ระบุว่าทิศทางภาวะเศรษฐกิจโลกจะหดตัวนั้น 30.77% ระบุว่า หดตัว 1-10%, 23.08% ระบุว่าจะหดตัว 11-20% และ 46.15% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจว่าจะหดตัวเท่าใด
 
สำหรับความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ 63.04% ระบุว่า เป็นนโยบายการกีดกันทางการค้าสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และเม็กซิโก ที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและปริมาณการค้าโลก รองลงมา 50.00% ระบุว่า เป็นการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 45 และดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ กลับไปผลิตในสหรัฐฯ เพื่อสร้างการจ้างงานในสหรัฐฯ ให้เพิ่มขึ้น จะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย, 34.78% ระบุว่า เป็นการสนับสนุนกฎหมายเพื่อลดการจ้างงานแรงงานผิดกฎหมาย และผลักดันแรงงานผิดกฎหมายกว่า 11 ล้านคน ออกนอกประเทศ หากนโยบายดังกล่าวมีการนำมาใช้จริงอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ ขณะที่ 2.17% ระบุว่า ไม่มีความกังวลต่อนโยบายใดๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์
 
ด้านผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยจากนโยบายเรื่องการค้าที่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะกีดกันการค้าจากจีน พบว่า 48.98% ระบุว่า ส่งผลปานกลาง, 22.45% ระบุว่า ส่งผลมาก, 18.37% ระบุว่า ส่งผลน้อย, 4.08% ระบุว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยมากที่สุด, 4.08% ระบุว่า ส่งผลน้อยที่สุด และ 2.04% ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
 
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2560 ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของโลก โดยเฉพาะ Thailand 4.0 ที่จะทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น 2.ส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน 3.สนับสนุนสินเชื่อเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น รวมทั้งมีมาตรการที่เกี่ยวกับการลดภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน 4.เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปี 2560 รวมทั้ง การเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจระดับจังหวัดวงเงิน 1 แสนล้านบาท ตามนโยบายประชารัฐสร้างไทยของภาครัฐ และ 5.ต้องการให้วิเคราะห์และหาทางแก้ไขอุปสรรคที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การออกสิทธิบัตร อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล การควบคุมคุณภาพสินค้านำเข้า การส่งเสริมอุตสาหกรรม Automation
 
"ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริหารระดับสูงที่มีต่อเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง 2 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดหวังว่าผลสำรวจนี้จะถูกนำไปใช้เทียบเคียงกับตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ถ้าทุกอย่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันก็จะเป็นการคอนเฟิร์มว่าทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น"
 
นายกำพล กล่าวว่า นิด้าโพลจะพยายามทำผลสำรวจความคิดเห็นให้หลากหลายมากขึ้นจากเดิมที่เน้นสำรวจความคิดเห็นด้านการเมือง ซึ่งความร่วมมือกับ ส.อ.ท.ในครั้งนี้จะมีระยะเวลา 3 ปี โดยหวังว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะสะท้อนความต้องการของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ภาครัฐสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้
 
"เรายังพร้อมจะร่วมมือกับส.อ.ท.ทำการสำรวจความคิดเห็นในประเด็นที่เป็นผลกระทบต่างๆ เช่น ผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่มีต่อเศรษฐกิจ รวมถึงในอนาคตอาจจะมีการสำรวจความคิดเห็นเป็นภาคอุตสาหกรรมด้วย"
 
 
ประกันสังคม แจงผู้ป่วยมะเร็งฯรับการรักษาแล้ว รพ.เดิมช่วยเหลือทั้งหมด
 
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 60 นางลักขณา บุญสนอง รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ดังนี้
 
1. ผู้ประกันตนชื่อ นายนพพร บุญสุข อายุ 55 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิครินทร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิฯ ด้วย Case CA Head of pancreas C liver metastasis แต่โรงพยาบาลศิครินทร์ ไม่สามารถรักษาได้ จึงส่งผู้ประกันตนไปรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติทั้งหมด 12 ครั้ง โดยให้คีโม 12 เข็ม (วันที่ 30 มีนาคม 2559 ถึงวันที่ 21 กันยายน 2559)
 
2. เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2559 โรงพยาบาลศิครินทร์ได้ให้การรักษาผู้ประกันตน เนื่องจากมีความพร้อมในการรักษา โดยให้คีโมเข็มที่ 13 แต่ผู้ประกันตนมีอาการทรุด มีโรคแทรกซ้อน เป็นลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้ปวดท้อง
 
3. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 เวลา 16.00 น. ผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาด้วยอาการปวดท้องรุนแรง ท้องเสีย พบแพทย์อายุรกรรม แจ้งว่าอาการปกติ กลับบ้านได้ และให้กลับมาพบแพทย์เฉพาะทางอีกครั้งในวันที่ 11 มกราคม 2560 บุตรสาวจึงขอประวัติการรักษาของผู้ประกันตน เพื่อจะไปรักษาที่สถาบันมะเร็ง แต่โรงพยาบาลศิครินทร์ไม่ดำเนินการให้ ซึ่งแพทย์ได้ตรวจเลือด อุจจาระ และเอกซเรย์ปอด ผลปรากฏว่าเกล็ดเลือดปกติ อุจจาระไม่พบการติดเชื้อ ไม่มีไข้สูงหรืออาการอ่อนเพลีย ไม่มีอาการเกี่ยวกับฐานของโรคมะเร็ง จึงไม่ได้ให้แอดมิท
 
4. บุตรสาวผู้ประกันตนแจ้งว่า ได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลศิครินทร์ ว่าผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลฯ ได้ โดยจะดูแลเป็นอย่างดี และได้ออกหนังสือส่งตัวให้ผู้ประกันตนไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2560 และหากผู้ประกันตนไปรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลศิครินทร์ จะไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติไม่เข้าร่วมโครงการ ในปี 2560
 
5. เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2560 เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคมประสานโรงพยาบาลศิครินทร์ ได้รับแจ้งว่า ผู้ประกันตนจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยโรงพยาบาลศิครินทร์ รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด
 
 
รมว.แรงงาน ไม่ปลื้มพิสูจน์ 3 สัญชาติ 1.3 ล้านคนล่าช้า จี้กกจ.เร่งแก้ไข หวั่นต้องนำเข้าแรงงานทดแทน
 
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าในการประชุมกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2560 พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามผลการดำเนินงานของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน รวมทั้ง เรื่องบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาของกระบวนการต่างๆ กับประเทศต้นทาง ไว้ร่วมกัน เพื่อให้การเดินทางเข้ามาทำงานของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
"ซึ่งพบว่า กระบวนการตรวจสัญชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินการของประเทศต้นทางที่ตรวจพิสูจน์สัญชาติแรงงานของตน มีความล่าช้ามาตั้งแต่ ปี 2557 จึงรู้สึกไม่พอใจต่อการดำเนินการในส่วนนี้และให้กรมการจัดหางานเร่งรัดประสานการตรวจพิสูจน์สัญชาติกับประเทศเพื่อนบ้านโดยด่วน หากพ้นระยะเวลาผ่อนผันให้ทำงานแล้วยังไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จจะต้องนำแรงงานจากแหล่งอื่นเข้ามาทดแทน"โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าว
 
โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ แรงงานที่จะต้องเข้ารับการตรวจสัญชาติ มีอยู่ประมาณ 1.3 ล้านคน ได้แก่ แรงงานที่จดทะเบียนระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 29 กรกฎาคม 2559 จำนวน 1.2 ล้านคน ซึ่งระยะเวลาการผ่อนผันจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2561 และแรงงานในกิจการประมงทะเลแรงงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำอีกประมาณ 1 แสนคน ซึ่งระยะเวลาการผ่อนผันจะสิ้นสุดในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 โดยมีการดำเนินการ ดังนี้ 
 
1. เมียนมา ทางการเมียนมาแจ้งว่าจะเข้ามาตรวจสัญชาติโดยออกเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity)ให้กับแรงงานที่ไปตรวจสัญชาติทุกคน ซึ่งจะตั้งศูนย์ตรวจสัญชาติในอำเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาคร 2 แห่ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 1 แห่ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และอำเภอเมือง จังหวัดระนอง จังหวัดละ1 แห่ง โดยมีค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity)จำนวน 400 บาท ซึ่งจะได้รับเอกสารรับรองบุคคลภายใน 1 วัน และสามารถชำระค่าใช้จ่ายได้ที่Counter Serviceคิดค่าบริการ 10 บาท ทั้งนี้ กำหนดวันเริ่มดำเนินการเมื่อมีความชัดเจนจากทางการเมียนมาเมื่อใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
 
2.กัมพูชา ทางการกัมพูชาเข้ามามอบหนังสือเดินทาง (Passport)หรือเอกสารเดินทางคนงานกัมพูชา (Travel Document)ให้กับแรงงานที่ตรวจสัญชาติไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับหนังสือเดินทางหรือเอกสารใดๆ โดยแรงงานจะต้องเข้าตรวจสอบรายชื่อในเว็บไซด์ และส่งข้อมูลให้ทางการกัมพูชาทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E – mail)หรือทางไปรษณีย์ไปยังสถานทูตกัมพูชา หลังจากนั้นทางการกัมพูชาจะแจ้งวัน เวลา ให้มารับหนังสือเดินทางภายใน 14 วันทำการ ค่าธรรมเนียม 950 บาท ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 สำหรับการตรวจสัญชาติจะเริ่มดำเนินการเมื่อมอบหนังสือเดินทางฯ ให้กับแรงงานจำนวนหนึ่งแล้ว
 
3. ลาว อยู่ระหว่างประสานการดำเนินการ อนึ่ง หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1694
 
 
กรมบัญชีกลาง พร้อมจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำของ สพฐ. ในเดือนมกราคม 2560 จำนวนเงินทั้งสิ้นกว่า 15,619 ล้านบาท
 
นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง พร้อมจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำจากกรมบัญชีกลางเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เริ่มเดือนมกราคม 2560 เป็นเดือนแรก จำนวน 420,125 ราย รวมเป็นเงินกว่า 15,619 ล้านบาท
 
ทั้งนี้โครงการจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 โดยเริ่มจากส่วนราชการที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการก่อน จนถึงปัจจุบันมีส่วนราชการเข้าร่วมแล้ว 224 ส่วนราชการ ซึ่ง สพฐ. เป็นหน่วยงานสุดท้ายที่เข้าร่วมโครงการฯ นี้ นอกจากนี้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 50 ให้ส่วนราชการผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน (เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ) ดังนั้น ในกรณีนี้จึงดำเนินการหักภาษีไว้ เช่นเดียวกับส่วนราชการอื่นที่เข้าร่วมโครงการมาก่อนหน้านี้
 
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า โครงการจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ที่ดำเนินการในส่วนของ สพฐ.จะทำให้บุคลากรของ สพฐ. ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินวิทยฐานะผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตรงตามระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนดทุกเดือน ช่วยลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารขอเบิก และการโอนเงินและทำให้มีฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐเต็มรูปแบบเพื่อใช้ในการบริหารบุคลากรและงบประมาณได้
 
สำหรับหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในปี พ.ศ. 2559 ส่วนราชการแต่ละแห่งจะจัดส่งหนังสือดังกล่าวให้ข้าราชการ ลูกจ้าง ผู้รับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญโดยตรง นอกจากนี้กรมบัญชีกลางได้เพิ่มช่องทางการให้บริการของผู้รับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ โดยสามารถเข้าไปที่ www.cgd.go.th ในหัวข้อบำเหน็จบำนาญ/บำเหน็จค้ำประกัน ซึ่งผู้รับบำนาญที่ยังไม่เคยลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินด้วยตนเองผ่านระบบ E-Filing สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2560 เป็นต้นไป และพิมพ์หนังสือรับรองดังกล่าว ได้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 2560 เป็นต้นไป
 
"กรมบัญชีกลาง ในฐานะหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินและของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีวินัย คุ้มค่า โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยความสำเร็จของโครงการนี้ เกิดจากรัฐบาลและกระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะผลักดันการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสดตามโครงการ National e-Payment เพื่อลดการใช้ธนบัตรและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ด้วยการใช้ระบบ e-Payment เพื่อเป็นกลไกสำคัญของการทำธุรกรรมทางการเงินในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากเลขาธิการ สพฐ." นางสาวอรนุช กล่าว
 
 
ปลัดสธ. ลงนามประกาศกระทรวงฯจ่ายค่าตอบแทนสหวิชาชีพ 10 สาขา กลุ่ม ‘รพช.-รพ.สต.’
 
เมื่อวันที่ 19 มกราคม นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามในหนังสือถึงอธิบดีกรมทุกกรม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ผู้ตรวจราชการ สธ. สาธารณสุขนิเทศก์ ผู้ช่วยผู้ตรวจฯ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผอ.รพ.ทุกระดับ และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดสธ. รวมทั้งนิติกรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)ทุกแห่ง ให้รับทราบถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องรายชื่อสาขาวิชาชีพและรายชื่อสายงานที่สามารถรับค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ และวิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานซึ่งออกมาก่อนหน้านี้ โดยเพิ่มสายงานสหสาขาวิชาชีพ อย่างกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข เพิ่มเติมล่าสุดรวมเป็น10 สาขา เพื่อให้มีความชัดเจนในการปฏิบัติงานมากขึ้น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประกาศดังกล่าวได้กำหนดรายชื่อสาขาวิชาชีพที่สามารถเบิกค่าตอบแทนในอัตราสหวิชาชีพ ประกอบด้วย 10 สาขา คือ 1.นักกายภาพบำบัด 2.นักเทคนิคการแพทย์ 3.แพทย์แผนไทย 4.นักวิชาการสาธารณสุข 5.นักกิจกรรมบำบัด 6.นักรังสีการแพทย์ 7.นักจิตวิทยาคลินิก 8.นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย 9.นักเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก และ10. นักกายอุปกรณ์ โดยประกาศดังกล่าวได้เพิ่มสหวิชาชีพขึ้นมาใหม่อีก 3 สาขา คือ นักวิชาการสาธารณสุข แพทย์แผนไทย และนักกายอุปกรณ์
 
อนึ่ง สำหรับหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนที่ปฏิบัติงานให้กับหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับ11 และ 12) ในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มีหลักเกณฑ์สำคัญ 4 ประเด็น คือ 1.ใช้หลักเกณฑ์พื้นที่ 6 ระดับ เหมือนกันทุกวิชาชีพ 2.ใช้หลักเกณฑ์อายุราชการ 3 ช่วงอายุ ได้แก่ ปีที่ 1-3 ปีที่ 4-10 ปีที่ 11 ขึ้นไป เหมือนกันทุกวิชาชีพ 3.เพิ่มกลุ่มสายงานส่งเสริมสุขภาพ ควบคุมป้องกันโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพและคุ้มครองผู้บริโภค 4.ช่องว่างค่าตอบแทนระหว่างวิชาชีพลดลง
 
โดยสหสาขาวิชาชีพ กำหนดอัตราค่าตอบแทนรายเดือน ดังนี้ ในพื้นที่ชุมชนเมือง หากทำงานปีที่1-ปีที่ 3 ได้ 2,000 บาทต่อเดือน หากทำงานปีที่ 4-ปีที่ 10 ได้ 2,600 บาท ทำงานปีที่ 11 ขึ้นไป ได้2,800 บาท แต่หากทำงานพื้นที่ปกติซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ 2.3 ภาระงานปานกลาง ปีที่ 1-ปีที่ 3 ได้2,000 บาท ปีที่ 4-ปีที่ 10 ได้ 2,600 บาท และปีที่ 11 ขึ้นไป ได้ 2,800 บาท พื้นที่ 2.2 ภาระงานมาก ปีที่ 1-ปีที่ 3 ได้ 2,200 บาท ปีที่ 4-ปีที่ 10 ได้ 2,800 บาท ปีที่ 11 ขึ้นไป ได้ 3,000 บาท พื้นที่ระดับ 2.1 ภาระงานหนักมาก ปีที่ 1-ปีที่ 3 ได้ 2,200 บาท ปีที่ 4-ปีที่ 10 ได้ 2,800 บาท ปีที่ 11 ขึ้นไปได้ 3,000 บาท ส่วนพื้นที่เฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ทุรกันดาร กรณีทุรกันดารมาก อยู่ตามเกาะ หรืออยู่ตามชายแดน หากทำงานปีที่ 11 ขึ้นไป ได้ 4,500 บาท เป็นต้น
 
 
สมาคมธนาคารไทยจับมือ “กาชาด – มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม” ครั้งแรก! จ้างงาน-สร้างอาชีพคนพิการครั้งใหญ่ 900 อัตรา 76 จังหวัดทั่วประเทศ
 
สมาคมธนาคารไทย ร่วมมือ สภากาชาดไทยและมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมตั้ง "โครงการสมาคมธนาคารไทยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" ประเดิมจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการครั้งแรก และครั้งใหญ่ 900 อัตรา กระจาย 76 จังหวัดทั่วประเทศ มุ่งส่งเสริม-พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้ทำงานเหมาะสม ใกล้บ้าน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
 
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า "โครงการสมาคมธนาคารไทยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" เป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมธนาคารไทย สภากาชาดไทย และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมครั้งแรกซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากภาครัฐทั้งกระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้มีงานทำ และได้ทำงานในชุมชนที่อาศัยอยู่ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
 
"สมาชิกของสมาคมธนาคารไทยซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ 14 สถาบัน ส่วนใหญ่ปฏิบัติตาม มาตรา 34 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ด้วยการส่งเงินสมทบกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นจำนวน 109;500 บาท/คน/ปี เนื่องจากติดข้อจำกัดที่ไม่สามารถจ้างงานคนพิการในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนพนักงานขององค์กร ตามข้อกำหนดในมาตรา 33 ได้ ด้วยสาเหตุบางประการ เช่น จัดหาคนพิการในพื้นที่มาทำงานตรงตามพื้นที่นั้นๆ ไม่ได้ และบางครั้งตำแหน่งงานไม่เหมาะกับคุณสมบัติของคนพิการ ส่งผลให้ยอดสะสมในกองทุนฯ เพิ่มขึ้นทุกปี ทางสมาคมฯ จึงมองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเงินซึ่งใช้สมทบทุกๆ ปี มาสร้างประโยชน์ให้กับคนพิการโดยตรง ด้วยการสร้างโอกาส งานและอาชีพ ที่เหมาะสมกับความสามารถ ซึ่งมาตรา 35 เปิดโอกาสให้มีการจัดจ้างเหมางานให้คนพิการไปทำงานในสถานประกอบการอื่นได้โดยรวมถึงองค์กร สาธารณกุศลเพื่อสังคม ประกอบกับสมาคมฯ ได้พันธมิตรอย่างสภากาชาดไทยกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมเข้าร่วมแสดงความจำนงครั้งนี้อย่างลงตัว ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 14 สถาบันภายใต้สมาคมธนาคารไทยลงมติเป็นทิศทางเดียวกันที่จะสนับสนุนการจ้างงานและสร้างอาชีพแก่คนพิการประมาณ 900 คน เพื่อให้คนพิการได้ทำงานตรงตามความถนัด และสามารถเลี้ยงดูตนเองได้และยังสามารถทำงานในหน่วยงานที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย" นายปรีดีกล่าว
 
ด้าน คุณหญิงชฏา วัฒนศิริธรรม เหรัญญิก สภากาชาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดยมุ่งหวังว่าการเปิดโอกาสให้คนพิการเข้ามาทำงานกับสภากาชาดไทยซึ่งเป็นองค์กรที่มีเกียรติ มีชื่อเสียง และเป็นองค์กรที่ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม จะเสริมสร้างความภูมิใจ และการมีส่วนร่วมในสังคมให้กับคนพิการ โดยจำนวนคนพิการที่สภากาชาดไทยจะรับเข้าทำงานตามโครงการนี้มีทั้งสิ้น 676 คน (จากจำนวนประมาณ 900 คน) โดยจะเข้าไปช่วยทำงานในสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด 76 แห่งในทุกจังหวัด และกิ่งกาชาดอำเภออีก 240 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ของสภากาชาดไทยซึ่งจัดสรรไปตามภูมิลำเนาของผู้พิการ
 
นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย กล่าวว่า การทำประโยชน์เพื่อคนพิการถือเป็นพันธกิจของสภากาชาดไทยประการหนึ่ง โดยในส่วนของการทำงานกับโครงการฯ สภากาชาดไทยได้ร่วมศึกษาและออกแบบโครงการจ้างเหมางานคนพิการกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ตลอดจนกำหนดคุณสมบัติ เสาะหา และคัดเลือกคนพิการที่เหมาะสม จัดสรรตำแหน่งงาน รวมถึงจัดหาวิทยากรและการอบรมที่จำเป็นให้ด้วย อาทิ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ และเสริมสร้างทัศนคติเพื่อให้การทำงานในสำนักงานของคนพิการเป็นไปอย่างราบรื่น
 
นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า ในส่วนของคนพิการที่ไม่ได้ทำงานกับสภากาชาดไทย มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมได้ประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ในเครือข่าย อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดต่างๆ นอกเหนือจากนี้ยังมีการส่งเสริมอาชีพอิสระด้วย นับเป็นขวัญและกำลังใจสำคัญที่ทำให้คนพิการรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงาน สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อีกทั้งยังคงได้รับการพัฒนาทักษะด้านอาชีพเพื่อตรงตามความต้องการในสายอาชีพนั้นๆ ต่อไปด้วย
 
"โครงการสมาคมธนาคารไทยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นับเป็นปรากฏการณ์การจ้างงานคนพิการจากกลุ่มธุรกิจเดียว ที่มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมานับแต่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้และยังเป็นการรับคนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานสาธารณประโยชน์ในประเทศไทย และหน่วยงานกาชาดทั่วโลกที่มีจำนวนมากที่สุดในครั้งเดียวด้วย นอกจากนี้รูปแบบความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นการสร้างตัวอย่างความร่วมมือในการจ้างเหมางานคนพิการตามมาตรา 35 ที่ภาคธุรกิจและหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบได้ ซึ่งตอนนี้การส่งเสริมคนพิการให้มีอาชีพ มีงานทำได้ถูกยกระดับไปเป็นเป้าหมายของคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม ส่งผลให้มีการขยายเวลาดำเนินงานตามมาตรา 35 ไปจนถึง 31 มี.ค. 2560 นับเป็นข่าวดีที่หน่วยงานเอกชนต่างๆ ที่ยังส่งเงินเข้ากองทุน ได้มีทางเลือกในการจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการ โดยหน่วยงานที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม" นายอภิชาติ กล่าว
 
 
สวทน. ดันโครงการโรงเรียนในโรงงาน บุกเหนือและอีสาน ปั้นเด็กเก่งป้อน หลังพบภาคอุตสาหกรรม – บริษัทยักษ์ใหญ่ขอรับส่งเสริมลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาท
 
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า สวทน. เป็นหน่วยงานที่ริเริ่มโครงการบูรณาการการเรียนกับการทำงาน “วิล” (Work-integrated Learning :WiL) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา ซึ่ง สวทน. ได้ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา รับสมัครนักเรียนที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาสายสามัญ จากโรงเรียนในชนบทมาเข้าโครงการ ซึ่งเด็กที่เข้าร่วมโครงการนี้ นอกจากจะได้เรียนจนสำเร็จวุฒิการศึกษาเหมือนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาทั่วไปแล้ว ระหว่างที่เรียนยังจะได้รับประสบการณ์จริง จากการทำงานในสายการผลิตของภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการ มีการนำเอาความรู้จากงานที่ทำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทเรียน ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และยังได้รับค่าแรงเป็นรายได้ระหว่างเรียนอีกด้วย
 
เลขาธิการฯ สวทน. กล่าวต่อว่า โครงการวิลจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยในปีนี้มีบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง สนใจเข้าร่วมโครงการ ทั้ง บริษัทโซนี่ ที่ต้องการกำลังคนที่มีความรู้ด้านอิเล็คทรอนิกส์ บริษัทมิชลิน และบริษัทกู๊ดเยียร์ ผู้ผลิตยางรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ต้องการกำลังคนทางด้านเทคนิคและเทคโนโลยี รวมถึงบริษัทชินเอทสึ บริษัทผู้ผลิตซิลิโคนชั้นนำจากญี่ปุ่น ก็มาเข้าร่วมโครงการกับเราด้วย ทั้งนี้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการวิล จะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์จากนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบคลัสเตอร์ ในการขอรับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นคลัสเตอร์สำหรับกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยในปีนี้ บริษัทมิชลิน, กู๊ดเยียร์ และ บริษัทชินเอทสึ ได้เข้าร่วมขอรับสิทธิ์ดังกล่าวกับทาง สวทน. ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน มากถึง 20,986 ล้านบาท
 
สำหรับปีนี้โครงการวิล ได้เปิดรับสมัครเด็กที่ต้องการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยเริ่มจากภาคเหนือ แล้วขยายมายังภาคอีสาน ซึ่งทาง สวทน. และภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการได้ลงพื้นที่ ร่วมกันเฟ้นหาเด็กซึ่งมีความรู้ความสามารถ เหมาะที่จะเข้าร่วมโครงการ ผ่านการสอบข้อเขียน การสอบปฏิบัติและการสอบสัมภาษณ์ โดยมีเป้าหมายว่าในปี 2560 นี้ จะมีเด็กเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นประมาณ 300 คน
 
ทั้งนี้พบว่าปัจจุบัน ความต้องการกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทยมีสูงมาก แต่เด็กที่เรียนจบและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในเรื่องดังกล่าว ยังมีไม่เพียงพอที่จะป้อนสู่สายการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โครงการนี้จึงเข้ามาตอบโจทย์ ในเรื่องการพัฒนากำลังคน ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังช่วยให้เด็กในชนบทซึ่งเรียนดีแต่ยากจน ได้มีโอกาสเรียนและทำงานไปด้วยในเวลาเดียวกัน ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็ได้กำลังคนที่เชี่ยวชาญและทำงานได้จริง อีกทั้งยังขอรับสิทธิประโยชน์ จากนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบคลัสเตอร์ได้อีกด้วย ดร.กิติพงค์ กล่าวทิ้งท้าย
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท