หลายมุมมองเรื่องรัฐบาลซีเรีย 'ยึดคืน' อเลปโปใน 'สงครามที่ทุกฝ่ายต่างเป็นอาชญากร'

โรเบิร์ต ฟิสก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางเขียนถึงเหตุการณ์ในอเลปโป ย้ำเตือนว่าถึงจะประณามความโหดเหี้ยมของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย แต่ต้องไม่ลืมความโหดร้ายของฝ่ายกบฏที่ได้รับการหนุนจากตะวันตกและกลุ่มสุดโต่งในตะวันออกกลางด้วย ขณะที่อัลจาซีราระบุถึงสถานการณ์เปิดทางอพยพว่า "ไม่มีใครที่จะปลอดภัย" แม้แต่ผู้หญิง เด็ก และคนเจ็บ และการโจมตีจากฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่การทิ้งระเบิดแบบไม่ระบุเป้าหมายอีกแล้ว แต่เป็นการจงใจยิงใส่บ้านเรือนประชาชน

15 ธ.ค. 2559 ในขณะที่สหประชาชาติแสดงออกประณามการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นกับพลเรือนในเมืองอเลปโปของซีเรียหลังกองกำลังฝ่ายหนุนรัฐบาลบาชาร์ อัลอัสซาด บุกเข้ายึดพื้นที่คืน โรเบิร์ต ฟิสก์ นักข่าวผู้เชี่ยวชาญเรื่องตะวันออกกลางก็เขียนบทความย้ำเตือนว่าอย่าลืมว่ากลุ่มกบฏในซีเรียก็ได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และพันธมิตร "นักตัดหัว" ในตะวันออกกลางด้วย

อย่างไรก็ตามฟิสก์ระบุว่าถึงแม้ประเทศตะวันตกบางประเทศจะมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดกลุ่มก่อการร้ายแต่เวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นพวกเขาก็จะทำเหมือนกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้เป็น "ตัวร้าย" แม้ว่ากลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้จะร่วมกับกลุ่มกบฏสู้รบกับฝ่ายที่เป็นศัตรูหรือช่วยปกป้องเมืองก็ตามเพราะกลุ่มประเทศตะวันตกยังยึดติดในการเล่าบรรยาย ให้ตัวเองเป็นฝ่ายดีกำลังต่อสู้กับฝ่ายร้ายและถึงขั้นเคยอ้าง "อาวุธทำล้ายล้างอานุภาพสูง" เพื่อบุกอิรักมาแล้ว

อย่างไรก็ตามฟิสก์ระบุว่าฝ่ายรัฐบาลอัสซาดเองก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเคยก่อการทารุณกรรม สังหารประชาชน มีคุกลับ ถ้ารวมเอาพวกกลุ่มติดอาวุธที่ช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียเข้าไปด้วยก็จะมีเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันน่าสะพรึง และแน่นอนว่าควรต้องเป็นห่วงแพทย์และประชาชนที่ทำงานช่วยเหลือชีวิตคนในอเลปโปตอนนี้ และต้องไม่ลืมเรื่องที่สหประชาชาติรายงานเกี่ยวกับคนที่ถูกสังหาร 82 คน แต่ประเทศตะวันตกมักจะขายเรื่องความน่ากลัวของไอซิสตอนปิดล้อมโมซูลแต่ละเลยที่จะถูกถึงพฤติกรรมของกลุ่มกบฏในอเลปโป

ฟิสก์เล่าว่าเขาเคยสัมภาษณ์ชาวมุสลิมคนหนึ่งที่หนีจากอเลปโปในช่วงที่มีสัญญาหยุดยิง เขาเล่าถึงความโหดร้ายของกลุ่มกบฏให้ฟังว่าน้องชายของเขาถูกสังหารเพราะเดินตัดผ่านแนวหน้ากับภรรยาและลูกของเขา เขายังประณามฝ่ายกบฏที่ปิดโรงเรียนและเอาอาวุธไว้ใกล้กับโรงพยาบาลโดยที่ชายคนนี้ก็ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลแต่อย่างใด เขาเคยชื่นชมไอซิสในช่วงแรกๆ ที่ปฏิบัติตัวดีในขณะที่ล้อมเมืองโมซูลด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันทหารซีเรียก็เคยบอกกับฟิสก์ว่าพวกเขาเชื่อกันเองว่าอเมริกันจะนำพวกไอซิสออกจากโมซูลแล้วโจมตีรัฐบาลซีเรียอีกครั้ง และเคยมีนายพลคนหนึ่งที่แสดงออกว่าพวกเขากลัวว่ากลุ่มติดอาวุธนิกายชีอะฮ์ในอิรักจะไม่ให้พวกไอซิสหนีข้ามพรมแดนอิรักสู่ซีเรีย แต่ในตอนนี้กลุ่มไอซิสข้ามแดนจากโมซูลของประเทศอิรักและจากเมืองอัล-รัคคา และดิแอร์เอซซอร์ของซีเรียเพื่อไปยึดแพลไมราแล้ว และเมื่อลองเทียบกันดูกรณีอเลปโปดูเป็นการ "ยึดคืน" จากกลุ่มกบฏ ขณะที่ไอซิสน่าจะไปทำให้พัลไมรา "ล่มสลาย" มากกว่าเมื่อดูจากความโหดเหี้ยมสุดประหลาดของพวกนั้น แต่สื่อกลับใช้คำเหมือนอเลปโปกำลัง "ล่มสลาย"

 

ผู้สื่อข่าวนิวส์วีคโต้ การเสียใจต่อพลเรือนไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนผู้ก่อการร้าย

ในแง่นี้มีบทความของญานีน ดี จิโอวานนี บรรณาธิการตะวันออกกลางของนิวส์วีคระบุว่า "แล้วแต่มุมมองของคุณว่าจะมองมุมไหน อเลปโปในตอนนี้กำลัง่มสลาย ถูกยืดคืน หรือถูกปลดปล่อย" แต่ตัวเธอไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะอยู่ข้างการเมืองใด ตัวเธอเป็นฝ่ายเดียวกับเหยื่อของความโหดร้ายจากรัฐและพลเรือนทุกคนที่ชีวิตพังทลายจากสงครามที่ยาวนานกว่า 5 ปี สำหรับตัวเธอแล้วมันเป็นความขัดแย้งที่ชวนมองโลกมืดมนที่สุดตลอดชีวิตการทำข่าวสงคราม 25 ปี ของเธอ และแน่นอนว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลซีเรียและกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านต่างก็มีความผิดในฐานะอาชญากรสงครามทั้งสองฝ่าย แต่อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีความผิดมากกว่า

แต่สิ่งที่ทำให้จิโอวานนีคิดว่าผู้คนไม่ได้เข้าใจความซับซ้อนในความขัดแย้งภายในซีเรียเลยก็ตอนที่เธอถูกด่าเหมารวมที่สะท้อนแต่มุมมองแบบคู่ตรงข้ามอย่างไม่รู้จักแยกแยะ เธอแสดงออกว่าตัวเองรู้สึกล้มเหลวในฐานะนักข่าวสงครามที่ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งหมดลงได้และต้องการให้ระชาคโลกรับรู้สิ่งที่พลเรือนในอเลปโปกำลังเผชิญแต่เธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น "พวกผู้ก่อการร้ายต่ำทราม" "พวกคนชอบผู้ก่อการร้าย" โดยที่คนเหล่านี้แยกแยะไม่ออกว่าใครคือผู้ก่อการร้ายใครคือพลเรือน

สำหรับจิโอวานนีแล้วความขัดแย้งในซีเรียไม่ใช่แค่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายดาดๆ ที่มีแต่กลุ่มอย่างไอซิสหรืออัลนุสราที่แยกตัวมาจากอัลกออิดะฮ์อยู่ในซีเรียแค่นั้นนี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียและพันธมิตรต้องการให้ผู้คนเชื่อ ต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งของซีเรียเริ่มมาตั้งแต่การต่อต้านรัฐบาลโดยสันติในปี 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ "อาหรับสปริง" แต่ต่อมาก็มีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาสู้รบกับรัฐบาลจนทำให้เกิดเป็นสงครามกลางเมืองและวินาศกรรมทางมนุษยธรรมอย่างที่เห็นทุกวันนี้

 

'นักข่าวคนสุดท้าย' ในอเลปโปฝั่งตะวันออก

ทั้งนี้อัลจาซีรายังรายงานปากคำของ บิลัล อับดุล คารีม ผู้ที่บอกว่าตัวเองเป็นนักข่าวคนสุดท้ายในอเลปโปตะวันออก เขาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า "ไม่มีใครที่จะปลอดภัย" ไม่มีการเปิดทางให้กับผู้หญิง เด็ก คนป่วย และคนที่บาดเจ็บเลย และการโจมตีจากกองกำลังฝ่ายรัฐบาลนั้นไม่ใช่การทิ้งระเบิดแบบไม่ระบุเป้าหมายแบบเดิมแต่เป็นการจงใจยิงใส่บ้านเรือนประชาชน

คารีมรายงานต่อไปว่ามีการจงใจทำลายสถานพยาบาลในฝั่งตะวันตกของอเลปโปทั้งๆ ที่สถานพยาบาลเป็นอาคารที่ควรจะถูกมองว่าเป็นอาคารพลเรือนนอกจากนี้ยังเน้นทำลายสถานีประปา ศาล และอื่นๆ ที่เป็นสิ่งบริการประชาชน

มีกลุ่มกบฏในอเลปโปบอกคารีมว่าผู้คนไม่กล้าอพยพออกจากเมืองเพราะกลัวสิ่งที่กองกำลังรัฐบาลจะกระทำต่อพวกเขา อีกทั้งพวกเขารู้ว่าในพื้นที่ที่มีรัฐบาลยึดครองอยู่มีการสังหารทุกคนที่มีนามสกุลหนึ่ง เพรานามสกุลเดียวกันนี้มีอยู่ในกลุ่มกบฏ ทำให้ผู้คนไม่ไว้ใจ

อย่างไรก็ตามในช่วงวันพุธที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ก็เริ่มมีการเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากพื้นที่

 

เรียบเรียงจาก

There is more than one truth to tell in the awful story of Aleppo, The Independent, 13-12-2016

'No one is safe in east Aleppo', Aljazeera, 14-12-2016

Twisted narratives won’t spare Aleppo a moment of its agony, Janine di Giovanni, 14-12-2016

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท