รองผู้ว่า กทม. นำติดป้ายรื้อถอนชุมชนป้อมมหากาฬ เริ่มปลาย ม.ค. 60 – ชาวชุมชนแถลงเคารพสิทธิในที่ดินของ กทม. แต่ต้องเน้นย้ำเรื่องสิทธิชุมชน – ชี้ กทม. ไม่เคยเข้าใจความเป็นชุมชนไม่ว่าชุมชนใด
28 พ.ย. 2559 บริเวณชุมชนป้อมมหากาฬ จักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำติดป้ายไวนิล จำนวน 3 ป้าย บริเวณชุมชนป้อมมหากาฬ โดยข้อความระบุให้เริ่มดำเนินการรื้อถอนชุมชนป้อมมหากาฬในปลายเดือน ม.ค. 2560 ถึงจนกว่าจะแล้วเสร็จ รวมทั้งกรณีการขอให้ตั้งคณะกรรมการพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างชุมชนกับ กทม. ตามที่ได้มีการเจรจาร่วมกัน เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2559 นั้น ป้ายดังกล่าวได้ระบุว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่ใช่ประเด็นเพื่อพิจารณาการรื้อถอน เนื่องจากชุมชนไม่สามารถอยู่ในพื้นที่ได้ตามข้อกฏหมาย
ป้ายประกาศบริเวณชุมชนป้อมมหากาฬ เครดิต : เฟซบุ้กแฟนเพจชุมชนป้อมมหากาฬ
อีกทั้งประเด็นการปรับพื้นที่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ กรณีชุมชนนั้น กทม. จะช่วยเหลือสนับสนุนรับเป็นลูกจ้างเพื่อทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ แต่ชุมชนไม่สามารถอยู่อาศัยในพื้นที่ได้ และกรณีการขอเข้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนพื้นที่ย่านเมืองเก่านั้น เครือข่ายสามารถยื่นข้อเสนอโดยตรงแก่คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 29 พ.ย. 2559 รายงานว่า จักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่า กทม. กล่าวว่าขณะนี้มีบ้านที่ยังเหลืออยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬจำนวน 37 หลัง โดยการรื้อถอนจะไม่มีการระบุว่าจะรื้อถอนหลังไหนก่อน ส่วนข้อเสนอของชาวบ้านที่ขออยู่ต่อนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวได้เป็นสถานที่โบราณสถานแล้ว
จักกพันธุ์ กล่าวต่อว่า จากวันนี้จนถึงสิ้นเดือน ม.ค. 2560 กทม.จะเริ่มทำการเจรจาเพื่อความเข้าใจ ซึ่งหากชาวชุมชนมีความประสงค์ที่จะเป็นลูกจ้างของ กทม. เพื่อร่วมดูแลพื้นที่ป้อมมหากาฬก็ทำได้ อีกทั้ง กทม. และการเคหะแห่งชาติได้เตรียมที่อยู่อาศัยให้แก่ชาวชุมชนที่บริเวณเขตมีนบุรี และโรงเรียนภายในสังกัด กทม. เพื่อรองรับบุตรหลานของชาวชุมชน
ชาวชุมชนป้อมมหากาฬออกแถลงการณ์ เคารพสิทธิในที่ดินของ กทม. แต่ย้ำให้ตระหนักถึงสิทธิที่อยู่อาศัย
ทางด้านชุมชนป้อมมหากาฬออกแถลงการณ์จุดยืนของชุมชนต่อความเห็นของกรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่าชุมชนป้อมมหากาฬมิได้โต้แย้งสิทธิในที่ดินของกรุงเทพมหานคร หากแต่ชุมชนเรียกร้องให้ กทม. ตระหนักถึงสิทธิความเป็นมนุษย์และสิทธิในการอยู่อาศัย
อีกทั้งกรณีการจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคีตามที่ได้มีการพูดคุยร่วมกันหลายฝ่ายรวมทั้ง กทม. เองด้วยนั้น ได้ระบุให้ชุมชนเป็นผุ้ดำเนินการยกร่างรายชื่อคณะกรรมการพหุภาคีขึ้นมา ซึ่งชาวชุมชนได้นำเสนอผู้ทรงคุณวุฒิในสังคมหาก กทม. ติดขัดในรายชื่อเหล่านั้น ก็ควรมีการมาคิดร่วมและกำหนดร่วมกัน ดีกว่าการปฏิเสธไม่ยอมรับ ซึ่งกรณีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า กทม. ในฐานะรัฐท้องถิ่น ไม่พยายามที่จะคิดร่วมและยังใช้หลักการบริหารจัดการเมืองเพียงรัฐฝ่ายเดียวในการแก้ปัญหา
กรณีการจัดจ้างงานคนในชุมชนเป็นลูกจ้างนั้น ชุมชนยืนยันว่า การต่อสู้ตลอด 24 ปี ที่ผ่านมาได้เน้นย้ำความเป็นชุมชน โดยประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ความเห็นของ กทม. แสดงให้เห็นว่า กทม. ไม่เคยเข้าใจต่อเรื่องความเป็นชุมชนไม่ว่าเป็นชุมชนใดๆ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่เคยเข้าใจและไม่ทำความเข้าใจต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชุมชนดั้งเดิม
จุดยืนของชุมชนต่อการแสดงความคิดเห็นของกทม. 1. ชุมชนป้อมมหากาฬ ไม่เคยโต้แย้งต่อสิทธิอันชอบธรรมในที่ดินของกรุงเทพมหานคร หากแต่ ชุมชนป้อมมหากาฬและชุมชนในย่านเมืองเก่า เรียกร้องให้กทม. ตระหนักและคำนึงถึงสิทธิความเป็นมนุษย์และสิทธิในการอยู่อาศัย 2. การจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคีนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของกรุงเทพมหานคร ที่มีอำนาจในการคิดร่วม เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างชุมชนกับกทม. ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 59 ที่มีการเจรจาร่วมกันหลายฝ่าย คือ กทม. ชุมชนป้อมมหากาฬ คณะกรรมการสิทธิ์ฯ และเครือข่ายนักวิชาการเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูเมืองเก่านั้น มีข้อสรุปร่วมกันในการจัดตั้งคณะกรรมการพหุภาคี ซึ่งในการพูดคุยดังกล่าว ผู้บริหารกทม. ที่ร่วมวงเจรจา ได้ระบุให้ชุมชนเป็นคนดำเนินการยกร่างรายชื่อคณะกรรมการพหุภาคีขึ้นมา จึงเป็นสาเหตุให้ชุมชนได้เสนอร่างรายชื่อคณะกรรมการพหุภาคี เพื่ิอให้พิจารณาร่วมกัน โดยคณะกรรมการพหุภาคีที่ชุมชนและภาคีเครือข่ายฯ ยกร่าง ไม่ได้มีหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหากรณีชุมชนป้อมมหากาฬเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนในย่านเมืองเก่าด้วย ร่างรายชื่อคณะกรรมการพหุภาคีดังกล่าวนั้น ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสังคม เป็นบุคคลที่สังคมให้การเคารพและยอมรับ หากกทม. ติดขัดในรายชื่อเหล่านั้น ก็ควรมีการมาคิดร่วมและกำหนดร่วมกัน ดีกว่าที่จะตั้งแง่ปฏิเสธไม่ยอมรับ ซึ่งกรณีเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า กทม. ในฐานะรัฐท้องถิ่น ไม่พยายามที่จะคิดร่วมและยังใช้หลักการบริหารจัดการเมืองเพียงรัฐฝ่ายเดียวในการแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่รัฐบาลเองก็ส่งเสริม สนับสนุน แนวทางการบริหารจัดการด้วยประชารัฐเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างปรองดอง นั่นแสดงให้เห็นว่า กทม. ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล อีกทั้งยังบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยมองแต่เรื่องการใช้งบประมาณเป็นหลัก มากกว่าการให้ความสำคัญต่อสิทธิ ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 3. 3.1 ความเห็นที่ กทม. เสนอนั้น เป็นแนวคิดเช่นเดียวกับที่ชุมชนป้อมมหากาฬและภาคีเครือข่ายนำเสนอแทบทั้งสิ้น ซึ่งชุมชนป้อมมหากาฬ มองว่า ภายใต้แนวคิดดังกล่าว ไม่ได้แนวทางในการบริหารจัดการแบบเดียวโดยรัฐ แต่สามารถสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ และยั่งยืนได้ 3.2 กรณีการสร้างสวนของกทม. ที่มีแนวทางจะจัดจ้างคนในชุมชนเป็นลูกจ้างนั้น ชุมชนป้อมมหากาฬยืนยันว่า การต่อสู้ของชุมชนกว่า 24 ปีที่ผ่านมานั้น เรามุ่งหมายเพื่อรักษาความเป็นชุมชน โดยความเป็นชุมชน ประกอบสร้างด้วยต้นทุนทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ความเป็นเครือญาติ พี่น้อง อันรวมถึงความภาคภูมิในความเป็นคนป้อมมหากาฬของชาวชุมชน ความเห็นดังกล่าวของ กทม. แสดงให้เห็นว่า กทม. ไม่เคยเข้าใจต่อเรื่องความเป็นชุมชนไม่ว่าเป็นชุมชนใดๆ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่เคยเข้าใจและไม่ทำความเข้าใจต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชุมชนดั้งเดิม ไม่เคยเข้าใจต่อกระบวนการต่อการมีส่วนร่วมตามที่ชุมชนและภาคีเครือข่ายเสนอเลยแม้แต่น้อย 4. กรณีปัญหาความขัดแย้ง ต้นเรื่องของปัญหามาจาก กทม. แต่กทม. กลับโยนความรับผิดชอบไปให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่า กทม. ในฐานะผู้บริหารเมืองขาดความรับผิดชอบต่อเมือง และประชาชนในเมืองแห่งนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะโดยหลักการของรัฐที่มีธรรมาภิบาลแล้ว ย่อมตระหนักและให้ความสำคัญกับเสียง สิทธิ และชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ชุมชนป้อมมหากาฬ ภาคีเครือข่าย กัลยาณมิตร นักวิชาการ รวมทั้งภาคส่วนอื่นๆ จึงใคร่ขอวิงวอนต่อสังคม เพื่อพิจารณาและให้ความเป็นธรรมแก่ชุมชน ด้วย |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)