CNN เอ็กซิตโพลเลือกตั้งสหรัฐ-ใครเลือกทรัมป์ ใครเลือกฮิลลารี

ซีเอ็นเอ็นสำรวจหน้าคูหาเลือกตั้งสหรัฐ เปิดเผยให้เห็นว่ากลุ่มประชากรลักษณะต่างๆ และทัศนคติต่อนโยบายสาธารณะ ล้วนเป็นปัจจัยในการเลือกผู้ประธานาธิบดีทั้งสิ้น เช่น คนอายุ 18-45 ปี เพศหญิง หรือกลุ่ม LGBT คนดำ คนละติน ผู้อาศัยเขตเมือง มีแนวโน้มเลือกฮิลลารี คลินตัน ในขณะที่ประชากรอาวุโส เพศชาย คนขาว ชาวคริสต์หัวอนุรักษ์ ผู้อาศัยเขตชานเมือง มีแนวโน้มเลือกโดนัลด์ ทรัมป์

ฮิลลารี คลินตัน และโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2016 (ที่มา: แฟ้มภาพ/Gage Skidmore/Wikipedia [1], [2])

 

10 พ.ย. 2559 ผลสำรวจเอ็กซิทโพลล์โดย CNN นำเสนอข้อมูลประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวน 24,537 คน ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยเป็นการสำรวจเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา มีการแบ่งกลุ่มประชากรโดยทั้งข้อมูลเรื่องเพศ, เพศสภาพ, ช่วงวัย, เชื้อชาติ, การศึกษา, รายได้, อุดมการณ์ทางการเมือง หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นที่ว่า การนับผลคะแนนเชื่อใจได้หรือไม่ การให้ความสำคัญเรื่องการดีเบตต่อการตัดสินใจโหวต และเรื่องที่ผู้สมัครพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 คน มีคุณสมบัติเหมาะกับการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหรือไม่

 

เพศและสถานะครอบครัว

กลุ่มตัวอย่างเพศชายเลือกคลินตัน 41% เลือกทรัมป์ 53% กลุ่มตัวอย่างเพศหญิงเลือกคลินตัน 54% เลือกทรัมป์ 42% (ที่มา: CNN Exit Polls)

กลุ่มตัวอย่าง ที่ระบุว่าเป็น LGBT เลือกคลินตัน 78% เลือกทรัมป์ 14% ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ LGBT เลือกคลินตัน 47% เลือกทรัมป์ 48% (ที่มา: CNN Exit Polls)

ผู้ชายที่แต่งงานแล้วมีแนวโน้มเลือกทรัมป์ ร้อยละ 58 มากกว่าคลินตัน ที่มีคนเลือกร้อยละ 37 ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ผู้ชายและผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน มีแนวโน้มเลือกคลินตันมากกว่าทรัมป์ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีแนวโน้มเลือกคลินตันถึงร้อยละ 62 ขณะที่เลือกทรัมป์ร้อยละ 33 (ที่มา: CNN Exit Polls)

ในแง่ของกลุ่มประชากรพบว่าประชากรเพศชายส่วนใหญ่โหวตให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เป็นจำนวนร้อยละ 53 จากจำนวนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ผู้หญิงส่วนใหญ่โหวตให้ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตร้อยละ 54 จากจำนวนร้อยละ 52 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด

ในเรื่องของการแต่งงานคนที่เป็นชายแต่งงานแล้วมีแนวโน้มจะโหวตให้ทรัมป์มากกว่าคนในสถานะอื่นๆ ส่วนกลุ่มผู้มีความหลากกลายทางเพศ (LGBT) จะโหวตให้คลินตันร้อยละ 78 โหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 14

อายุ

กลุ่มตัวอย่างระหว่างอายุ 18 ถึง 39 ปี เลือกคลินตันมากกว่าทรัมป์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างระหว่างอายุ 40 ถึง 64 ปี และ 65 ปีขึ้นไปเลือกทรัมป์มากกว่าคลินตัน (ที่มา: CNN Exit Polls)

ส่วนของการแบ่งกลุ่มประชากรจากช่วงวัยนั้น ผู้มีอายุ 45 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่โหวตให้ทรัมป์ ร้อยละ 53 ส่วนช่วงอายุ 18-44 ปีโหวตให้คลินตันร้อยละ 52 และเมื่อจำแนกโดยละเอียด เฉพาะในช่วงอายุ 18-24 ปี โหวตให้คลินตันห่างจากทรัมป์ค่อนข้างมาก คือโหวตให้คลินตันร้อยละ 56 และโหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 35

เชื้อชาติและสีผิว

กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนขาวที่มีสัดส่วนร้อยละ 70 ของกลุ่มที่ถูกสำรวจ เลือกคลินตัน 37% เลือกทรัมป์ 58% ส่วนกลุ่มที่ไม่ใช่คนขาวที่มีสัดส่วนร้อยละ 30 ขอกลุ่มที่ถูกสำรวจ เลือกคลินตัน 74% เลือกทรัมป์ 21%  (ที่มา: CNN Exit Polls)

กลุ่มตัวอย่างเมื่อจำแนกออกเป็นเชื้อชาติ/สีผิวต่างๆ กลุ่มที่ไม่ใช่คนขาวมีแนวโน้มจะเลือกคลินตัน มากกว่าเลือกทรัมป์  (ที่มา: CNN Exit Polls)

ในแง่ของเชื้อชาติสีผิวคนขาวส่วนใหญ่จะโหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 58 ประชากรเชื้อชาติอื่นๆ โดยเฉพาะคนดำจะโหวตให้คลินตัน อย่างไรก็ตามอัตราส่วนประชากรของคนเชื้อชาติอื่นๆ มีน้อยเมื่อเทียบกับคนขาวคือร้อยละ 30 ต่อร้อยละ 70

การศึกษา

ในแง่การศึกษาคนที่เรียนจบระดับวิทยาลัยหรือระดับสูงกว่าวิทยาลัยมีแนวโน้มจะเลือกคลินตันมากกว่าทรัมป์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ไดมีการศึกษาในระดับเทียบเท่า แต่เมื่อลองพิจารณาเทียบกับเรื่องอื่นๆ อย่างเพศกับเชื้อชาติแล้วพบว่าเรื่องเชื้อชาติมีผลมากกว่า

รายได้มากกับรายได้น้อย

กลุ่มตัวอย่างที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐต่อปี มีแนวโน้มจะเลือกคลินตัน ขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐต่อปี มีแนวโน้มจะเลือกทรัมป์ แต่สัดส่วนร้อยละไม่ห่างกันมากนัก (ที่มา: CNN Exit Polls)

ทั้งนี้ ยังมีการสำรวจเปรียบเทียบเรื่องรายได้ผู้มาใช้สิทธิ์ พบว่าผู้มาใช้สิทธิที่รายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปีจะโหวตให้ฮิลลารีมากกว่าคือร้อยละ 52 ขณะที่ผู้มีรายได้มากกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปีจะโหวตทรัมป์มากกว่าอยู่ที่ร้อยละ 49 แต่ก็ไม่ห่างจากผู้โหวตให้ฮิลลารีมากเท่าไหร่ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 47

ทัศนะทางการเมือง

ในด้านอุดมการณ์ทางการเมืองผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็นเสรีนิยมและสายกลางจะโหวตให้คลินตันร้อยละ 84 และร้อยละ 52 ตามลำดับ ส่วนผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็นอนุรักษ์นิยมจะโหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 81

ศาสนา

ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์มีแนวโน้มเลือกทรัมป์มากกว่าคลินตัน ในขณะที่ผู้นับถือศาสนายูดาห์ ศาสนาอื่นๆ และไม่มีศาสนามีแนวโน้มเลือกคลินตันมากกว่าทรัมป์ (ที่มา: CNN Exit Polls)

กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์แบบอิแวนเจลิกเลือกทรัมป์ถึงร้อยละ 81 (ที่มา: CNN Exit Polls)

สำหรับปัจจัยทางศาสนานั้นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์หลายนิกายจะโหวตให้ทรัมป์มากกว่าโดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์โปรเตสแตนท์แบบอิแวนเจลิก เลือกทรัมป์ร้อยละ 81 ส่วนคาทอลิกโหวตให้ทรัมป์น้อยกว่านิกายอื่นแต่ก็ยังนับเป็นส่วนมากคือร้อยละ 52 ยิ่งผู้ที่เข้ารับใช้ศาสนาบ่อยๆ จะยิ่งโหวตให้ทรัมป์มากขึ้น ทางด้านชาวยิว คนนับถือศาสนาอื่นๆ และคนไม่นับถือศาสนาใดเลยจะโหวตให้คลินตันมากกว่า

เมือง หรือชานเมือง/ชนบท

ในด้านที่อยู่อาศัยคนที่อยู่ในเมืองมีแนวโน้มโหวตให้คลินตันมากกว่าอยู่ที่ร้อยละ 59 ต่อร้อยละ 35 กลุ่มที่อยู่ในชานเมืองและชนบทมักจะโหวตให้ทรัมป์มากกว่า

000

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และความเป็นตัวแทน

อย่างไรก็ตามในแง่มุมของความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งและตัวแทนจากทั้งสองพรรคนั้นดูจะมีปัจจัยไม่แพ้กัน ผู้ที่ตัดสินใจเลือกผู้แทนมาตั้งแต่ก่อนเดือนกันยายนจะเลือกคลินตันมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ตัดสินใจเลือกทรัมป์ ในเรื่องความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวแทนฝ่ายตรงข้ามมีผู้โหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 51 บอกว่าเพราะไม่ชอบคู่แข่ง ผู้โหวตให้คลินตันร้อยละ 39 บอกว่าไม่ชอบคู่แข่ง

นอกจากนี้ในการเลือกผู้แทนของแต่ละพรรคต่างฝ่ายต่างก็เชื่อว่าผู้แทนของตนมีความซื่อสัตย์มากกว่าเว้นแต่บางกลุ่มที่บอกว่าไม่เชื่อใจทั้งสองคนมีแนวโน้มจะโหวตทรัมป์มากกว่าอยู่ที่ร้อยละ 45 ต่อร้อยละ 40 มีเพียงร้อยละ 15 ในกลุ่มคนที่ไม่เชื่อใครเลยจะไม่โหวตให้ทั้งสองคนหรือโหวตให้คนอื่น นอกจากนี้กลุ่มคนที่เชื่อว่ทั้งทรัมป์และคลินตันไม่มีใครเลยที่เหมาะสมเปนประธานาธิบดีจะมีแนวโน้มโหวตทรัมป์มากกว่าอยู่ที่ร้อยละ 69 ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างที่มองว่ามีความเหมาะสมเป็นประธานาธิบดีทั้งคู่ก็โหวตให้ทรัมป์มากกว่าเช่นกัน กลุ่มต้วอย่างทั้งสองฝ่ายต่างก็บอกว่าพวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวถ้าหากฝ่ายตรงข้ามได้เป็นประธานาธิบดี

เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ลงสมัครผู้เลือกทรัมป์ถึงร้อยละ 83 บอกว่าต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนผู้เลือกคลินตันร้อยละ 90 บอกว่าต้องมีประสบการณ์ที่ถูกต้อง ที่เหลือคือต้องมีการตัดสินใจที่ดีและต้องใส่ใจพวกเขาด้วย แต่ดูเหมือนว่าสามเรื่องหลังนี้ผู้โหวตให้ทรัมป์จะไม่ให้ความสำคัญ

เน้นการต่างประเทศและเศรษฐกิจจะเลือกคลินตัน
เน้นผู้อพยพและก่อการร้ายจะเลือกทรัมป์

ในแง่ประเด็นที่สำคัญ ผู้โหวตให้คลินตันส่วนใหญ่มองว่าประเด็นนโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจสำคัญ ส่วนผู้โหวตให้ทรัมป์มองว่าเรื่องผู้อพยพกับเรื่องการก่อการร้ายสำคัญกว่า

แน่นอนว่านโยบายผู้อพยพเป็นปัจจัยสำคัญในตัวเลือกของกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ ผู้เลือกคลินตันร้อยละ 60 มองว่าผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายควรจะได้รับสถานะตามกฎหมายและร้อยละ 76 ต่อต้านการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิกัน ส่วนผุ้เลือกทรัมป์ร้อยละ 84 มองว่าควรส่งตัวผู้อพยพอย่างผิดกฎหมายออกนอกประเทศและร้อยละ 86 สนับสนุนการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก เกี่ยวกับนดยบายเศรษฐกิจ ผู้เลือกคลินตันส่วนมากมองว่าการค้านานาชาติจะยิงสร้างงานให้สหรัฐฯ และไม่ส่งผลกระทบต่องานแต่กลุ่มสนับสนุนทรัมป์มองว่าจะเป็นการแย่งงานพวกเขาไป

ประเด็นเรื่องความมั่นคงผู้โหวตคลินตันส่วนใหญ่มองว่าการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสเป็นไปได้ดีหรือค่อนข้างดีโดยมีผุ้มองว่าดีมากร้อยละ 85 ส่วนผู้โหวตให้ทรัมป์มองว่าการต่อสู้กับไอซิสเป็นได้แย่ถึงแย่มาก โดยมีผู้มองว่าแย่มากร้อยละ 85

ในประเด็นด้านระบบความยุติธรรมผู้โหวตให้ทรัมป์ส่วนใหญ่มองว่าประเด็นการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดมีความสำคัญ ขณะที่ผู้โหวตให้คลินตันมองว่ามีความสำคัญ สำคัญน้อย ไปจนถึงไม่สำคัญเลย ผู้โหวตให้ทรัมป์ร้อยละ 74 มองว่าระบบยุติธรรมในปัจจุบันปฏิบัติกับทุกคนยุติธรรมดี แต่ผู้โหวตให้คลินตันร้อยละ 71 มองว่าระบบยุติธรรมยังปฏิบัติต่อคนดำไม่เป็นธรรม

คนไม่พอใจ "โอมาบาแคร์" จะเลือกทรัมป์

ในประเด็นเรื่องระบบประกันสุขภาพ "โอบามาแคร์" คนมองว่ายังไม่ครอบคลุมพอ (ร้อยละ 78) หรือกำลังพอดี (ร้อยละ 82) ส่วนคนที่มองว่ามันมากเกินไป ส่วนใหญ่จะโหวตให้ทรัมป์ (ร้อยละ 83) ฝ่ายทรัมป์ส่วนมากยังแสดงออกไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลกลางว่าเข้ามายุ่งมากเกินไปขณะที่ฝ่ายหนุนคลินตันส่วนใหญ่พอใจกับการทำงานของรัฐบาลกลางและบอกว่าควรจะทำอะไรให้ประชาชนมากกว่านี้ นอกจากนี้คนที่มีทัศนคติทางบวกกับโอบามาแลอยากให้นดยบายของโอบามาดำเนินต่อไปส่วนใหญ่จะหนุนคลินตัน คนที่ไม่พอใจโอบามาและอยากให้รัฐบาลเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่านี้จะหนุนทรัมป์

อีเมลฉาวของคลินตัน และผลต่อการตัดสินใจเลือกทรัมป์

ในประเด็นเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการที่คลินตันถูกสอบสวนเรื่องใช้อีเมลล์ส่วนตัวในการทำงานสมัยเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ มีผู้ที่บอกว่าเรื่องนี้รบกวนจิตใจพวกเขามากร้อยละ 45 ในจำนวนนี้มีร้อยละ 87 โหวตให้ทรัมป์ ขณะที่กลุ่มที่บอกว่ารบกวนจิตใจบางส่วนโหวตให้ฮิลลารีร้อยละ 68 แต่ส่วนมากร้อยละ 88 และร้อยละ 92 ที่โหวตให้ฮิลลารีมองว่าไม่ได้รบกวนจิตใจเท่าไหร่หรือไม่รบกวนจิตใจเลย ส่วนเรื่องอื้อฉาวของทรัมป์เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้หญิงนั้นมีร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่ารบกวนจิตใจพวกเขาอย่างมากแะในร้อยละ 83 ของกลุ่มนี้โหวตให้ฮิลลารี ขณะที่กลุ่มที่บอกว่ารบกวนจิตใจบางส่วนร้อยละ 75 ก็ยังคงโหวตให้ทรัมป์

เห็นว่าเศรษฐกิจดี จะเลือกคลินตัน เห็นว่าเศรษฐกิจแย่ จะเลือกทรัมป์

ในประเด็นที่ว่าปัจจุบันมีเศรษฐกิจดีกว่าอดีตหรือไม่ โดยร้อยละ 31 มองว่าดีขึ้นและส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้โหวตให้คลินตันส่วนกลุ่มที่มองว่าแย่ลงส่วนใหญ่จะโหวตให้ทรัมป์ อีกทั้งกลุ่มที่โหวตให้ทรัมป์จะเชื่อว่าคนอเมริกันในอนาคตจะมีชีวิตที่แย่ลงกว่าเดิม

ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนมากยังเชื่อมั่นใจการนับคะแนนเสียงและคนกลุ่มนี้มักจะโหวตให้คลินตันส่วนคนที่ไม่เชื่อมั่นในการนับคะแนนเสียงมีโอกาสจะโหวตให้ทรัมป์มากกว่า นอกจากนี้กลุ่มที่มองว่าการดีเบตช่วงก่อนเลือกตั้งไม่ค่อยมีความสำคัญมักจะเลือกทรัมป์มากกว่า แต่กับคำถามที่ว่าการดีเบตเป็นปัจจัยหนึ่งในการลงคะแนนหรือไม่กลุ่มที่ตอบว่าใช่ก็มักจะโหวตให้ทรัมป์มากกว่า

เรียบเรียงจาก
 
exit poll, CNN, 9-11-2016

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท