Skip to main content
sharethis

นศ.มรภ.ร้อยเอ็ด ชมรมรัฐศาสตร์มวลชนสัมพันธ์ และ นศ.ชมรมค่ายอาสาพัฒนาราม-อีสาน ม.รามคำแหง ลงพื้นที่ชุมชนดอนฮังเกลือ ต.บึงเกลือ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ศึกษาเรียนรู้ถีการดำเนินชีวิต ประวัติศาสตร์ชุมชน และการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกิน

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมานักศึกษาชมรมรัฐศาสตร์มวลชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และนักศึกษาชมรมค่ายอาสาพัฒนาราม - อีสาน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมลงพื้นที่ชุมชนดอนฮังเกลือ ต.บึงเกลือ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยนักศึกษาทั้งจากสองสถาบันการศึกษา ต่างทำกิจกรรมนักศึกษาเพื่อสังคมภายในแต่ละมหาวิทยาลัยที่สังกัดอยู่ การลงพื้นที่ทั้งนี้เพื่อศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนของชุมชน และด้วยความสนใจในวิถีการดำเนินชีวิต และการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินทำกิน

นางสาวศิรินทรา ทานัง นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ชมรมค่ายอาสาพัฒนาราม - อีสาน มหาวิทยาลัยรามคำแหงเล่าว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเคยผูกพันอยู่กับออกค่ายอาสาพัฒนาตามพื้นที่ชนบทต่างๆ ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาลงพื้นที่และเป็นกรณีศึกษาที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในเรื่องสิทธิที่ดินทำกินเพราะตามที่ได้เห็นเฉพาะแต่ในข่าว ทั้งทีวี หรือจากหนังสือพิมพ์ และรุ่นพี่ๆในชมรมฯ ที่เคยได้ลงพื้นที่กรณีที่ได้รับผลกระทบเรื่องที่ดินทำกินได้มาเล่าให้ฟัง ซึ่งได้เพียงรับรู้ เกิดความเข้าใจ และพอมองเห็นแค่ภาพได้บ้างไม่มากก็น้อยว่าชาวบ้านมีความทุกข์ยากจากนโยบายที่ต่างไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรบ้าง แต่ทั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีในการได้ลงมาสัมผัสด้วยตนเอง ทำให้ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ รวมทั้งการต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ ที่ประชาชนทุกคนควรได้รับด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมอย่างกรณีปัญหาผลกระทบที่ชาวบ้านชุมชนดอนฮังเกลือ ได้รับความเดือดร้อนนั้น สืบเนื่องจากนับแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ด้วยหน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ออกจากพื้นที่ทำกินเดิม โดยอ้างว่าชาวบ้านบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ ดอนฮังเกลืออย่างไรก็ตามชาวบ้านร่วมกันต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินทำกินมาอย่างต่อเนื่อง

นางสาวศิรินทราบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2559 ได้ลงพื้นที่ชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พบว่าเส้นทางการต่อสู้สู่การทวงคืนผืนดินของชาวบ้านบ่อแก้วมีมายาวนาน หลังจากเมื่อปี 2521 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ออป.ยึดพื้นที่ชาวบ้านไปปลูกสวนป่ายูคาลิปตัส กระทั่งในวันที่ 17 ก.ค.2552 สามารถทวงคืนผืนดินทำกินกลับคืนมาได้ พร้อมจัดตั้งชุมชนบ่อแก้วขึ้นมาอย่างมีระบบแบบแผน เช่นเดียวกับที่ชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย ที่พวกตนได้เดินทางลงพื้นที่ในช่วงบ่าย จะเห็นได้ว่าที่ชุมชนโคกยาวมีการต่อสู้ในเรื่องสิทธิที่ดินทำกินเช่นเดียวกับที่บ่อแก้ว เพียงแต่ต่างกันคือชุมชนโคกยาว ถูกอพยพออกจากพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้อ้างว่าเพื่อการฟื้นฟูป่า แต่กลับนำต้นยูคาฯมาปลูกทับที่ทำกินชาวบ้าน กระทั่งชาวบ้านต่อสู้เรียกร้องจึงสามารถกลับเข้าพื้นที่เดิมได้ในช่วงปี 2548 แต่ที่ทั้งสองชุมชนเหมือนกันคือหลังจากกลับเข้าพื้นที่ได้นั้นได้ร่วมกันพลิกฟื้นทั้งชีวิตและผืนดินให้เกิดความสมบูรณ์และเพื่อให้เกิดความปกติสุขในการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าชุมชนโคกยาวจะตั้งอยู่กลางป่าเขา ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำใช้ และแม้จะขาดแกนนำคนสำคัญ คือนายเด่น คำแหล้ ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ที่หายตัวไปในป่า นับแต่วันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่สมาชิกในชุมชนที่ยังอยู่ ก็ยังคงร่วมกันต่อสู้ เพื่อรักษาที่ดินให้คงอยู่สืบไปสู่ลูกหลาน

“ความรู้สึกยินดีถึงอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความชอบธรรม กลายเป็นความอยากรู้ อยากติดตามในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ชุมชนบ่อแก้ว ชุมชนโคกยาว หรือที่ชุมชนดอนฮังเกลือก็ตาม ทั้งนี้แม้อาจไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับรู้จากการลงพื้นที่ อย่างน้อยการเข้ามารับรู้ถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น จะนำไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนสมาชิกในชมรมฯ เพื่อในโอกาสต่อไปจะได้มาร่วมจัดออกค่ายฯ เพื่อสร้างความสุขให้แก่คนในชุมชน และจะถือเป็นโอกาสดี หากการที่นักศึกษาอีกหลายๆคน ที่ยังไม่ได้มีโอกาสมาออกค่ายฯเรียนรู้โลกกว้างนอกห้องเรียนแบบนี้ หากได้เข้ามารับรู้ถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น จะได้นำประสบการณ์จากการลงพื้นที่ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ๆ ทั้งในด้านการเผยแพร่ ให้สังคมส่วนใหญ่เข้าใจ รับรู้ถึงปัญหา เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนว่า เพราะอะไร ชาวบ้านจึงได้รวมตัวกันต่อสู้คัดค้านปัญหาผลกระทบต่างๆที่วิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน” ศิรินทรา กล่าว

ด้านนายเจษฎา อักษรพิมพ์ นักศึกษาสาขารัฐศาตร์ชั้นปีที่ 4 ชมรมรัฐศาสตร์มวลชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดบอกว่า ลงมาพื้นที่ชุมชนดอนฮังเกลือ หลายครั้ง เพื่อใช้ในศึกษาหาข้อมูลทำวิจัยเกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิต ทั้งทางด้านเศรษฐกิจชุมชนความเป็นอยู่ รวมทั้งความเป็นมาของปัญหา และประวัติชุมชน ตลอดจนการเดินสำรวจและเก็บภาพบริเวณชุมชน ทั้งด้านขอบเขตของพื้นที่ การทำเกษตรกรรม การประมงเพราะจากการได้ติดตามนอกจากปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้น ยังพบว่าชุมชนมีสภาพเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งตนเองได้ แม้จะถูกอ้างว่าอยู่พื้นที่พิพาทแต่ในชุมชนได้ร่วมกันต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง

“การได้มาสัมผัสถึงวิถีชีวิตชาวบ้านโดยตรง ได้รับรู้ข้อมูล ได้เรียนรู้ถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ต่างจากการศึกษาที่มีอยู่แต่ในห้องเรียนเพราะเป็นเพียงแค่ได้รับรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่หรือรู้เพียงแค่ปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบของชุมชนที่สำคัญได้รู้สึกถึงความสัมพันธ์กับพ่อแม่พี่น้องในชุมชนดอนฮังเกลือเป็นอย่างดียิ่งเพราะจากที่ได้ลงพื้นที่มาหลายครั้งจะอาศัยอยู่กับชาวบ้าน แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยาวนานกว่านั้น และจากการลงมาสำรวจพื้นที่สามารถบอกได้เลยว่าประสบการณ์ที่ได้จากข้อมูลที่ได้รับทั้งจากการได้สัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ แน่นอนว่าจะนำไปเป็นข้อมูลในการเขียนงานวิจัยเพื่อเผยแพร่ให้สังคมส่วนใหญ่ได้รับรู้ เข้าใจถึงปัญหาในอีกแง่มุมหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของสิทธิชุมชน เป็นการต่อไป” นายเจษฎากล่าวทิ้งท้าย

ทางด้านนายทองสา ไกรยนุช สมาชิกชุมชนดอนฮังเกลือ ให้ข้อมูลว่าชาวบ้านชุมชนดอนฮังเกลือ กว่า 20 ครอบครัว ร่วมกันประกอบอาชีพ โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งบนผืนดินและในผืนน้ำ กล่าวคือ บนผืนดิน ชุมชนทำการเกษตรด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนตามฤดูกาล เช่น ช่วงฤดูฝนทำการปลูกข้าวหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็มาปลูกพืชผักต่างๆ เช่น พริก มะนาว ข้าวโพด แตง ถั่วเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินให้ได้อย่างสมประโยชน์ คุ้มค่า มีความต่อเนื่องอย่างสูงสุด นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันฟื้นฟูและรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมบูรณ์และยั่งยืน เพราะสมาชิกในชุมชนร่วมกันทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรอินทรีย์

นายทองสา บอกอีกว่า ด้านทรัพยากรทางน้ำในบึงเกลือ หรือที่เรียกว่า “ทะเลอีสาน” บนเนื้อที่กว่า 5พันไร่ ได้ประกอบอาชีพการประมงมาหลายชั่วอายุคนด้วยการจับสัตว์น้ำเช่น กุ้ง หอย ปู และปลาอีกหลากหลายพันธุ์ เช่น ปลาช่อน ปลาตะเพียนขาว ปลาคล้าว ปลาชะโด ปลาดุกและปลากดมาบริโภคในครัวเรือน ส่วนหนึ่งได้นำออกขายเป็นรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัว ถือเป็นปกติของการดำเนินชีวิต โดยสิ่งที่หามาได้ทั้งทำกินเองและขาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินไปหาซื้อจับจ่ายในท้องตลาดให้มากนัก ถือเป็นการประหยัดรายจ่ายไปในตัวด้วยส่วนการดูแลรักษาทั้งทรัพยากร และสัตว์น้ำ ชุมชนร่วมกันจัดบริเวณในบึงเกลือประมาณ 1 ไร่ เพื่อทำโรงเรียนอนุรักษ์พันธุ์ปลาโดยให้ปลาตัวเล็กได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่ชาวบ้านร่วมกันเขตไว้ เพื่อให้ปลาได้มีการขยายพันธุ์ไม่ให้สูญพันธุ์เพราะในหนองน้ำนั้นมีความหลากหลายในระบบนิเวศ และถือเป็นโรงครัวใหญ่เพื่อรักษาไว้ให้เป็นแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งในสมาชิกของชุมชน และชุมชนใกล้เคียงให้เกิดความยั่งยืนสืบไป

“ด้านปัญหาผลกระทบที่ได้รับความเดือดร้อน แม้ชุมชนจะอาศัยอยู่ที่นี่มาแต่บรรพบุรษประกอบอาชีพหารายได้มาเลี้ยงชีวิต แต่ก็มีความขัดแย้งกับ อบต.บึงเกลือ มานับแต่ปี 2535 มาอย่างต่อเนื่อง ด้วย อบต. อ้างว่าเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ดอนฮังเกลือ พยายามขับไล่ออกจากพื้นที่ จึงได้ร่วมกันลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกิน ด้วยหวังว่าให้ผืนดินตกทอดไปถึงลูกสู่หลาน กระทั่งได้เข้าร่วมผลักดันทางนโยบายกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสานและเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยให้ภาครัฐดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 แม้แนวทางการแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน แต่ทางองค์กรภาคประชาชนในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมหรือพีมูฟพยายามผลักดันให้ได้ข้อยุติในเรื่องการจัดการให้เป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการบริหารจัดการที่ดินในสิทธิรวมหมู่ในการถือครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินของชุมชน” สมาชิกชุมชนดอนฮังเกลือกล่าวเพิ่มเติม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net