สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยินดีไทยยุติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร พร้อมเรียกร้องให้บังคับคำสั่งย้อนหลังเพื่อไต่สวนคดีพลเรือนในศาลพลเรือน
แฟ้มภาพ: ประชาไท
14 ก.ย. 2559 สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกแถลงการณ์แสดงความดีใจที่ไทยยุติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ในความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้บังคับคำสั่งย้อนหลังเพื่อให้มีการไต่สวนคดีพลเรือนทุกคดีในศาลพลเรือน
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความยินดีกับการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะยุติการดำเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร ในความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นการยุติแนวปฏิบัติที่ทำกันมาหลังเกิดรัฐประหารเมื่อปี 2557
ก่อนหน้านี้ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแสดงความวิตกหลายครั้งที่ไทยใช้ศาลทหารในการไต่สวนพลเรือน ทั้งนี้ หลายประเทศแนะให้ไทยยุติการดำเนินการดังกล่าวระหว่างการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (ยูพีอาร์) ของไทยในที่ประชุมยูพีอาร์ที่จัดขึ้นที่เจนีวาเมื่อต้นปี
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งทหารเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ประกาศให้คดีใหม่ทุกคดีอยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลยุติธรรม แต่คำสั่งฉบับนี้ไม่มีผลต่อคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลทหารแต่อย่างใด รวมทั้งยังคงให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการบังคับใช้กฎหมายที่จะตรวจค้น จับกุม และ ควบคุมตัว
“เรารู้สึกดีที่ได้เห็นการตัดสินใจนี้ เพราะนี่คือขั้นตอนสำคัญหนึ่งในการคืนประชาธิปไตยสู่สังคมไทย การตัดสินใจนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน” โลคอง เมยอง (Laurent Meillan) รักษาการตัวแทนประจำภูมิภาคของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว “แต่เนื่องจากคำสั่งฉบับนี้จะใช้บังคับกับคดีใหม่เท่านั้น เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้บังคับคำสั่งย้อนหลังเพื่อให้มีการไต่สวนคดีพลเรือนทุกคดีในศาลพลเรือน” นายเมยอง กล่าว
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยระงับการใช้คำสั่งทหารซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจการรักษาความสงบ (policing power) ให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร รวมทั้งขอให้ยุติคดีที่จับกุมและตั้งข้อหาบุคคลผู้ใช้สิทธิพื้นฐานของตนในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออกและชุมนุม