Skip to main content
sharethis

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2558 พ.ต.อ.นพดล เพ็ชรขาวเขียว ผู้กำกับสภ.หัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับรายงานว่าจะมีการลักลอบขนชาวโรฮิงญามาจากพื้นที่จังหวัดระนองไปยังจังหวัดสงขลา ผ่านเส้นทางอำเภอหัวไทร จึงได้สั่งการให้ตั้งจุดตรวจสอบถนนสาย 408 นครศรีธรรมราช-หัวไทร พบรถยนต์ต้องสงสัยจำนวน 5 คัน วิ่งตามหลังกันมา เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณให้หยุดเพื่อตรวจค้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจรถต้องสงสัยได้เพียง 2 คัน ปรากฎว่าคนขับรถยนต์กระบะจำนวน 3 คันที่เหลือได้ทิ้งรถและวิ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมคนขับรถที่ตรวจไว้ได้สองคันแรก เมื่อตรวจสอบรถยนต์กระบะทั้ง 5 คน พบชาวโรฮิงญานั่งอยู่ท้ายรถกระบะ รวม 98 คน (ชาย 30 คน หญิง 26 คน เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี 42 คน) แต่ละคนอยู่ในสภาพอ่อนพลียอย่างหนัก ในจำนวนดังกล่าวพบชาวโรฮิงญาเสียชีวิตเนื่องจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนชาวโรฮิงญาที่รอดชีวิตได้เข้าสู่กระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามประมวลกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการดูแลผู้เสียหายระหว่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา

เครือข่ายช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ ได้สนับสนุนการจัดหาทนายความแก่ชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ โดยเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุนนท์ หรือโกมิตร แสงทอง เป็นจำเลยที่ 1 นายสุริยา ยอดรัก เป็นจำเลยที่ 2 และนายวราชัย ชฎาทอง เป็นจำเลยที่ 3  ในคดีหมายเลขดำที่ 768/2558 ในข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานการค้ามนุษย์ สนับสนุนการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์  ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ เพื่อจะเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีฐานะคล้ายทาส ตามประมวลกฎหมายอาญา นำพาคนต่างด้าวเข้ามา ให้อาศัย หรือซ่อนเร้น ในราชอาณาจักรไทยโดยฝ่าฝืน พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 โดยมีผู้เสียหายที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี บุคคลอายุเกิน 15 ปีแต่ไม่ถึง 18 ปี และบุคคลตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับพวกสมคบกันค้ามนุษย์ โดยร่วมกันพาคนต่างด้าวชาวโรฮีนจาจำนวน 97 คนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการถูกจับกุม ร่วมกันค้ามนุษย์โดยหน่วงเหนี่ยวกักขังคนต่างด้าวให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และใช้อำนาจโดยมิชอบเอาคนต่างด้าวลงเป็นทาสหรือให้มีลักษณะทาส โดยนำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยสมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และได้กระทำจนสำเร็จ เหตุเกิดที่รัฐยะไข่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อำเภอระนอง จังหวัดระนอง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอสะเดา จังหวัดสงลา ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพฐานช่วยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการถูกจับกุม ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ในครั้งแรกจำเลยทั้งสามได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาของศาล แต่ต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกศาลจังหวัดตะกั่วป่าออกหมายขังในคดีอื่น นายประกันจึงขอส่งตัวจำเลยที่ 2 คืนและมีการออกหมายขังจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2559

ในการสืบพยานของแต่ละฝ่ายนั้น โจทก์อ้างพยาน 69 ปาก 18 นัด สืบจริง 37 ปาก 16 นัด โจทก์ร่วมอ้างพยานและสืบจริง 7 ปาก 2 นัด ส่วนจำเลยทั้งสามอ้างพยาน 10 ปาก สืบจริง 2 ปาก 2 นัด เริ่มสืบพยาน 19 ม.ค.2559 เสร็จสิ้น 24 มิ.ย.2559 รวมเวลา 5 เดือนเศษในการสืบพยานกว่า 40 ปาก

ล่าสุด 31 ส.ค.2559 ศาลจังหวัดปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้อ่านคำพิพากษา โดยระบุว่า จากการสืบพยานพบว่า มีการเคลื่อนไหวทางบัญชีโดยมีการโอนเงินจากขบวนการค้ามนุษย์หลายรายเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 หลายครั้ง เมื่อพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่1 เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการขนส่งชาวโรฮีนจาจากเขตแดนชายฝั่งทะเลจังหวัดพังงาเพื่อไปยังจังหวัดสงขลา ก่อนถูกจับได้ที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกระทำความผิด แต่ในทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีหน้าที่อื่นในเครือข่ายการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา จึงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นคนขับรถนำเส้นทางและขนส่งชาวโรฮีนจาต่อไปยังจังหวัดสงขลาเท่านั้น อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยรวมตัวกันหรือร่วมกันกระทำการใดอันเป็นองค์กรอาชญากรรมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้

ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ จำคุก 10 ปีปรับ 200,000 บาท ส่วนฐานร่วมกันค้ามนุษย์บุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปีและเกินสิบห้าปีแต่ไม่เกิดสิบแปดปีที่ถูกพาเข้ามาหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ฐานร่วมกันเอาคนลงเป็นทาส ฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหาหรือพาไปซึ่งบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปีและเกินสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี ฐานร่วมกันใช้อุบายหลวกลวงพยายามส่งคนไปนอกราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียว ให้ลงโทษฐานร่วมกันค้ามนุษย์ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 20 ปี ปรับ 400,000 บาท ฐานร่วมกันพาคนต่างด้าวเข้าเมือง จำคุก 4 ปี ปรับ 400,000 บาท ฐานช่วยเหลือคนต่างด้ายให้พ้นการจับกุม จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 35 ปี ปรับ 660,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือคนต่างด้าวให้พ้นการจับกุม จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 20,000 บาท นับโทษของจำเลยที่ 2 ของคดีนี้ต่อจากโทษของศาลจังหวัดตะกั่วป่า ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 3 จำนวน 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ที่ศาลจังหวัดหลังสวนอีก 2 คดี รวม 10 เดือน 5 วัน เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 16 เดือน 5 วัน ปรับ 10,000 บาท ข้อหาอื่นของจำเลยทั้งสามนอกจากนี้ให้ยก

คดีนี้นายยงยุทธ แสงรุ่งเรือง อธิบดีผู้พิพากษาภาค 8 ได้มอบหมายให้นายพีระเดช ไตรรัตน์ธนวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากาษภาค 8 นั่งพิจารณาร่วมกับองค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดปากพนังทุกนัด อีกทั้งยังนำระบบการพิจารณาคดีครบองค์คณะและต่อเนื่องมาใช้

เครือข่ายช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติระบุว่า ในคดีนี้ยังมีผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวนี้ อีกสองกลุ่ม คือ ผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย ที่ถูกจับกุมได้พร้อมกับจำเลยทั้งสาม แต่ได้หลบหนีไปหลังได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี และอีกกลุ่มคือต้องหาจำนวน 18 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดหาเรือ และอำนวยความสะดวกให้กับขบวนการขนชาวโรฮิงญา ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกจับกุมและพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net