Skip to main content
sharethis

ญาติเสื้อแดงเข้าพบยูเอ็น ขอความเป็นธรรมและเข้าถึงข้อมูลผู้ถูกจับกุม หลังทหารบุกค้นบ้านและควบคุมตัว 2 ราย ที่ จ.มหาสารคาม และ จ.อ่างทอง ด้านทหาร มทบ.11 ปฏิเสธให้ญาติเข้าเยี่ยมย้ำทำตามกฎหมายอยู่ในระหว่างการสอบสวน

15 ส.ค.2559 เวลา 10.30 น. ที่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNOHCHR) กรุงเทพมหานคร ญาติของแนวร่วมเสื้อแดง 2 ราย เข้าพบเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเพื่อหารือกรณีถูกทหารควบคุมตัวไปสอบสวนหลังเกิดเหตุระเบิดใน 7 จังหวัดภาคใต้ และช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงข้อมูลการควบคุมตัวว่าผู้ถูกควบคุมตัวได้รับความเป็นธรรม และถูกคุมตัวไปที่ใด

ดวงใจ หัวนา และ มนัสพล กุระจินดา ภรรยาและบุตรชายของ ศรวัชษ์ กุระจินดา ชาวมหาสารคามซึ่งถูกถูกทหารควบคุมตัวไปสอบสวนหลังเกิดเหตุการระเบิดขึ้นในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ ได้เข้าพบและให้ข้อมูลขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวศรวัชษ์และบุกค้นบ้าน และขอความช่วยเหลือจากองค์กรข้าหลวงใหญ่ฯให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการด้วยความเป็นธรรมและสามารถรับรู้ข้อมูลการควบคุมตัวศรวัชษ์ได้

ดวงใจ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวน 10 กว่านาย ควบคุมตัวศรวัชษ์ สามีตนนั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาตีห้ากว่าๆ ของวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นดวงใจ ลูกชายและเพื่อนของลูกชาย อาศัยรวมกันในบ้านทั้งหมด 7 คนและอยู่ด้วยในเหตุการณ์ มีเจ้าหน้าที่ทหารแต่งชุดลายพรางสีเขียว 5-6 คน และเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบบุกค้นบ้าน เข้าไปค้นในห้องนอนและบังคับให้ศรวัชษ์แต่งตัวและพาออกไปจากบ้าน

ขณะที่ทหารค้นบ้าน ดวงใจ กล่าวต่อว่า ทหารบอกว่าให้ดูว่าเจ้าหน้าที่ได้ค้นเอาอะไรไปบ้างและให้ศรวัชษ์ออกไปจากห้อง และเจ้าหน้าที่ก็ถามเกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในบ้าน เช่น เห็นหวยก็ถามว่าขายหวยหรือไม่ เห็นอะไรในบ้านก็ถามที่มาที่ไปแต่ไม่ได้ถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับศรวัชษ์ หลังจากที่ค้นบ้านนั้นเจ้าหน้าที่ก็หยิบเอกสารที่เกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เช่น ผ้าพันคอ ป้ายต่างๆ และสมุดบัญชีธนาคารของศรวัชษ์ นอกจากตรวจค้นยึดสิ่งของแล้วเจ้าหน้าที่ได้ยึดโทรศัพท์มือถือของตนและสามีไปด้วย รวมทั้งหมด 2 เครื่อง

ดวงใจ กล่าอว่า วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบขับรถทหารนำเอาเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ยึดไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค.มาคืน แต่คืนแค่ของตนแต่ของศรวิชษ์ไม่ได้คืนให้ และเมื่อตนได้สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าสามีเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่ทหารตอบเพียงว่าส่งตัวสามีของตนไปที่ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11)แล้ว และเมื่อสออบถามเจ้าหน้าที่ทหารว่าจะปล่อยตัวศรวัชษ์เมื่อไหร่ เจ้าหน้าที่ตอบว่าขึ้นอยู่กับการสอบสวนของส่วนกลางเขาไม่สามารถตอบได้

‘วันนี้ตั้งใจว่าจะไป มทบ.11 อยากรู้ว่าเขาอยู่ที่นั้นไหม กลัวว่าโดนแกล้ง เพราะเคยอยู่กับกลุ่มเสื้อแดง’ ดวงใจ กล่าว

เจ้าหน้าที่ทหาร 20 นาย เข้าค้นบ้านแนวร่วมเสื้อแดง จ.อ่างทอง

กลุ่มญาติและหุ้นส่วนธุรกิจของณรงค์ ผดุงศักดิ์ศรี หรือเฮียสี่อ่างทอง ซึ่งถูกทหารควบคุมตัวไปสอบสวนหลังเกิดเหตุการระเบิดขึ้นในพื้นที่หลาย จังหวัดทางภาคใต้เข้าร้องเรียนและให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สำนักงานข้าหลวง ใหญ่ฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 6.00 น. มีเจ้าหน้าที่ทหาร 20 นาย เข้ามาค้นบ้านและควบคุมตัวณรงค์ ขณะที่กำลังเปิดร้านขายลำโพงและเข้าไปค้นที่บ้านพักอีกหลังในละแวกเดียวกัน โดยการค้นทั้งสองพื้นที่เจ้าหน้าที่ไม่มีเอกสารหรือหมายค้นใดอ้าง ซึ่งขณะเข้าควบคุมตัวณรงค์และตรวจค้นในที่พัก เจ้าหน้าที่ทหารได้ดึงกล้องวงจรปิดออก ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด 10 เครื่อง

สุรีรัตน์ อุทิศ อดีตภรรยาและเป็นหุ้นส่วนธุรกิจร้านขายลำโพงกับณรงค์หรือเฮียสี่อ่างทอง กล่าวว่า ตอนนั้นขณะเปิดร้านขายของ มีชายฉกรรอาวุธครบมือแต่งตัวเหมือนหน่วยคอมมานโด และชายชุดดำแต่งกายปิดหน้าปิดตา ขับรถโตโยต้า รุ่นฟอจูนเนอร์ และรถตู้สีขาวรวมทั้งหมด 3 คัน มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ปิดหน้าปิดตาเพียง 2-3 นาย เมื่อเข้ามาก็เจ้าหน้าที่ก็ล็อคตัวสุรีรัตน์ และณรงค์ เข้าไปในร้าน และมีการดึงกล้องวงจรปิดออก มีกองกำลังอีกส่วนหนึ่งล้อคตัวลูกหลานในบ้านอีก 4 คน ไปยืนรวมกัน และอีกชุดหนึ่งก็เข้าค้นในร้านที่เป็นตึกแถวมีทั้งหมด 3 ชั้น

สุรีรัตน์ กล่าวต่อว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมคนในร้านแล้ว ยังมีกองกำลังอีกส่วนหนึ่งได้เข้าไปค้นบ้านอีกหลังที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง ซึ่งในขณะนั้นมีเด็กอายุ 5 ขวบ และ 10 ขวบ มีหลานชายและหลานสะใภ้อาศัยอยู่ เมื่อหลานชายและหลานสะใภ้เห็นเจ้าหน้าที่มาที่หน้าบ้านจึงตกใจและไม่กล้าไปเปิดประตู ทำให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจปีนรั้วบ้านเข้าค้นโดยไม่มีเอกสาร ซึ่งเมื่อเข้าไปตรวจค้นก็ได้นำเอาเอกสารต่างๆซึ่งไม่ทราบในขณะนั้นว่าอะไรบ้าง

วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่แต่งกายนอกเครื่องแบบเอาเอกสารและโทรศัพท์มือถือมาคืนทั้งหมดที่ยึดไป ยกเว้นของณรงค์ โดยเอกสารที่เอาไปเป็นเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจการค้า แผ่นป้ายที่เคยไปชุมนุมเสื้อแดง เช่น ป้ายทำโรงครัว รูปที่เคยถ่ายร่วมกับเพื่อนฝูง ที่เป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมที่ผ่านมา หลังจากคืนโทรศัพท์มือถือและเอกสารแล้วเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า ณรงค์ไม่เป็นอะไรอยู่ห้องแอร์ไม่ต้องเป็นห่วงและบอกว่าควบคุมตัวไปที่ มทบ.11 แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดใดในขณะนี้

‘ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 เดือน มีทหารมาเฝ้าที่ซอยหน้าบ้านตลอด เมื่ออาทิตย์ที่แล้วกลุ่มพี่น้องเสื้อแดงถูกจับที่ราชบุรีเรื่องประชามติ ณรงค์ก็เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจ ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่ทหารก็รู้หมดว่าทำอะไรที่ไหนอย่างไร มีการถ่ายรูปรถยี่ห้ออะไร แต่ก็ไม่เคยกลัวเพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด มาครั้งนี้จึงขอ UN จะทำอย่างไรที่จะได้รับรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนโดนจับข้อหาอะไร และถ้าเกิดความเสียหายใครจะรับผิดชอบเพราะณรงค์มีโรคส่วนตัว และยังต้องดำเนินธุรกิจซึ่งการหายไปทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก’สุรีรัตน์ กล่าว

ญาติแนวร่วมเสื้อแดงไป มทบ.11 ขอพบผู้ถูกจับกุม ทหารปฏิเสธ ยันทำตาม กม.

วันเดียวกันนี้ เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ กองร้อยกองบังคับการ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11(มทบ.11) ธนาธร ทนานนท์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และญาติของแนวร่วมเสื้อแดง 2 คนที่ถูกควบคุมตัว ได้เดินทางขอเข้าเยี่ยมณรงค์ และศรวัชษ์ แต่เจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม โดยกล่าวว่าไม่มีคำสั่งอนุญาติทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมายและขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาใดต่อผู้ถูกคุมตัวทั้ง 2 คน

ธนาธร กล่าวว่า  ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ทหารว่า ศรวัชษ์ และณรงค์ ถูกคุมขังที่ มทบ.11 หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ข้อเท็จจริงก็ตามที่ปรากฎในสื่อ และเมื่อถามต่อว่าจะปล่อยตัวเมื่อไหร่ก็ตอบว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำตามกฎหมายซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการสอบสวน และไม่สามารถให้คำตอบใดๆได้ แจ้งเพียงว่าผู้ถูกคุมขังสบายดีไม่ต้องกังวล

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net