Skip to main content
sharethis


ญาติของเอนกเดินทางมาจากต่างจังหวัด พากันร่ำไห้หลังทราบผลคำพิพากษาศาลฎีกา

22 ก.ค.2559 ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.2930/2553 หมายเลขแดงที่ อ.1876/2555   ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายเอนก สิงขุนทด จำเลยตาบอดวัย 33 ปีในคดีรถเงาะระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทยเมื่อปี 2553 โดยพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำคุก 5 ปี เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือ 25 ปี แต่เมื่อรวมโทษจำคุกในทุกกรรมแล้ว รวมโทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า แม้เหตุดังกล่าวจะก่อความเสียหายไม่มากและไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ก็นับเป็นความผิดร้ายแรงที่มีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิตและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ศาลเห็นควรให้ลงโทษสถานหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่นๆ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ภายหลังฟังคำพิพากษาและออกมาภายนอกห้องพิจารณา เอนกก้มลงกราบเท้าป้าวัย 73 ปี และอาวัย 68 ปีที่มาจากต่างจังหวัดเพื่อมาร่วมรับฟังผลคดี ขณะที่ญาติทั้งหมดพากันร้องไห้

เขากล่าวว่า ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผลคำพิพากษาจะลงโทษสูงถึงเพียงนี้ และยังแอบหวังว่าศาลฎีกาจะพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ส่วนสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือ สภาพของตาข้างขวาที่ปัจจุบันมองเห็นราว 30% แต่ยังไม่สามารถอ่านหนังสือได้นั้นจะแย่ลงจนบอดสนิท เนื่องจากสภาพสุขอนามัยในเรือนจำอาจไม่ดีนักและการพบหมออาจไม่สะดวกเท่ากับตอนอยู่ภายนอก

อ่านสัมภาษณ์พิเศษ เอนก สิงขุนทด หลังออกจากเรือนจำก่อนหน้านี้

เหตุการณ์ในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ 22 มิ.ย.2553 โดยเอนกได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียดวงตาข้างซ้ายขณะที่ข้างขวาเกือบบอดสนิท หลังจากเข็นรถเงาะซึ่งมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ไปวางไว้ข้างกำแพงพรรคภูมิใจไทยแล้วรถเกิดระเบิดขณะที่เขายังอยู่ที่รถ (อ่านข่าวที่นี่) เอนกรับสารภาพว่าเขาถูกจ้างวานให้เข็นรถเงาะดังกล่าวจริง หลังรักษาตัวจนพ้นขีดอันตรายเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อ 24 เม.ย.2555 ตัดสินจำคุก 35 ปีปรับ 50 บาท (อ่านที่นี่) ต่อมาวันที่ 9 เม.ย.2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 5 ปี (อ่านที่นี่) เอนกถูกควบคุมตัวจนครบ 5 ปีและเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อเดือนมิถุนายน 2558 เขากลับไปอยู่บ้านญาติที่โคราชซึ่งมีอาชีพรับจ้างในภาคการเกษตร โดยที่ตัวเขาไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ได้เนื่องจากตาบอด จึงรับหน้าที่ดูแลปู่และย่าซึ่งอายุมากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จนต่อมาราวเดือนมิถุนายนได้รับจดหมายจากศาลให้มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเดินทางจากนครราชสีมามายังศาลอาญาในวันนี้

เขาถูกฟ้องว่าร่วมกับพวกทำระเบิดเพื่อให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สินและสถานที่ประชุม ซึ่งมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221 222 ประกอบมาตรา 218 371 และ 83  พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 10 ปี ฐานมีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ และให้จำคุกตลอดชีวิตฐานทำระเบิดให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินฯ และสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 222 และ 218 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุกรวมทั้งสิ้น 35 ปี และปรับ 50 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 5 ปี

ขณะที่เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า สำหรับจำเลยร่วมในคดีนี้อีก 5 คน คือ นายเดชพล พุทธจง, นายกำพล คำคง, นายกอบชัย หรือ อ้าย บุญปลอด, นางวริศรียา หรือ อ้อ บุญสม และนายสุริยา หรือ อ้วน ภูมิวงษ์ กลุ่มที่ว่าจ้างนายเอนก นั้นแยกพิจารณาสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1007/2556 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธสู้คดี คดีอยู่ระหว่างฎีกา โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับ 66.666 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้อง นางวริศรียา หรือ อ้อ จำเลยที่ 4 จากนั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2558 แก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 4 ปี ปรับ 66.66 ส่วนนางวริศรียา จำเลยที่ 4 ที่ถูกยกฟ้องนั้นให้จำคุก 4 ปีและปรับ 66.66 จำเลยที่ 5 ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน แต่ปัจจุบัน จำเลยที่ 5 ถูกออกหมายจับ และสั่งปรับนายประกัน 500,000 บาท เพราะไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษา เชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนี

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net