Skip to main content
sharethis

18 ก.ค. 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา เวลา 14.15 น. ศาลปกครองสงขลาได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำที่ 54/2556 คดีระหว่าง มะวาเห็ง  มามะ ที่ 1 รูฆาย๊ะ มามะ ที่2  ผู้ฟ้องคดี  และ กองทัพบก ที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดี กรณีผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานของรัฐผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว อันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามใช้อาวุธปืนสงครามยิง ฟุรกอน มามะ เยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 บุตรของผู้ฟ้องคดีทั้งสอง จนถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2555

ในการพิจารณาคดีครั้งแรกนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสองและผู้รับมอบอำนาจของผู้ฟ้องคดีทั้งสองมาศาล ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่มาศาล และไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ

ศาลได้เริ่มพิจารณาคดีโดยให้ตุลาการเจ้าของสำนวนสรุปข้อเท็จจริงและประเด็นคดีให้คู่กรณีที่มาศาลและองค์คณะรับฟัง  ศาลอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองและผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีทั้งสองแถลงด้วยวาจาตามความประสงค์ โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 แถลงก่อน แล้วให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 แถลง และผู้รับมอบอำนาจจากผู้ฟ้องคดีทั้งสองแถลงสรุป  ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นบิดามารดาของ ฟุรกอน ต่างร่ำไห้คิดถึงลูกในขณะแถลงต่อศาล โดยแถลงเน้นย้ำว่าบุตรชายของตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบหรือก่อการร้ายใด ๆ และเชื่อว่าบุตรของต้นไม่มีอาวุธปืน ระเบิด และไม่ได้ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ดังที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กล่าวหา ลูกก็ถูกยิงข้างหลัง พร้อมทั้งเล่าประวัติการดำเนินชีวิตประจำวัน การศึกษาเล่าเรียน และอุปนิสัยของ ฟุรกอนโดยละเอียด ทำให้เห็นได้ว่า ฟุรกอน เป็นเยาวชนที่อยู่กับบิดามารดาและญาติพี่น้อง ไม่เคยห่างไกลจากครอบครัว ขยันขันแข็ง เป็นตัวแทนของโรงเรียนในแข่งกีฬาและแข่งทักษะทางวิชาการ ทั้งยังใช้เวลาช่วงปิดเทอมไปรับจ้างหาเงินมาให้มารดาเก็บไว้ให้เพื่อจะได้ซื้อสิ่งข้าวของเครื่องใช้ที่ตนต้องการโดยไม่ต้องขอเงินบิดามารดา  ผู้ฟ้องคดีทั้งสองต่างก็พูดย้ำหลายครั้งหลายหนต่อศาลว่าต้องการขอความเป็นธรรมให้แก่ลูกชายของตนที่เสียชีวิต เพราะลูกถูกกล่าวหาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

หลังจากฝ่ายผู้ฟ้องคดีได้แถลงต่อศาลเสร็จสิ้นแล้ว ตุลาการผู้แถลงคดีซึ่งพิจารณาสำนวนคดีแล้วทำความเห็นโดยอิสระ ได้แถลงการณ์เป็นหนังสือ และแถลงด้วยวาจาต่อตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะ สรุปความได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีสิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเพราะเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ  สำหรับเหตุการณ์ที่มีการยิงปะทะนั้นเจ้าหน้าที่ได้กระทำการป้องกันตนโดยพอสมควรแก่เหตุ ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นการกระทำละเมิด แต่ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาในเรื่องความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองได้ตาม มาตรา 9 วรรค 1 (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542  พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ตามรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ใกล้ศพผู้ตายพบอาวุธปืน ซองกระสุนปืนและกระสุนปืน และมีลูกระเบิดอยู่ในกระเป๋ากางเกงผู้ตาย ก็ตาม แต่ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ไม่พบ DNA ของผู้ตายที่ด้ามปืน ไกปืน ซองกระสุนปืน และที่ลูกระเบิด รายงานการตรวจพิสูจน์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก็ไม่พบสารประกอบวัตถุระเบิดและสารเสพติดจากเสื้อผ้าของผู้ตาย และไม่มีผู้ใดยืนยันว่าเห็นผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ อีกทั้งเพื่อนผู้ตายหลายคนซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุให้การยืนยันว่า ขณะผู้ตายกับพวกรวม 6 คน ร่วมกันต้มน้ำกระท่อมดื่มอยู่ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ จึงพากันวิ่งหนี ตอนแรกวิ่งไปทิศทางเดียวกัน แต่วิ่งไปได้ระยะหนึ่งจึงวิ่งแยกกันไปคนละทาง โดยทุกคนไม่มีอาวุธปืนและลูกระเบิดแต่อย่างใด มีเพียงบางคนถือมีดพร้าที่เตรียมมาใช้ฟันเก็บใบกระท่อม  อีกทั้งผู้ตายไม่มีประวัติอาชญากรรมหรือมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในฐานข้อมูลราชการ  อาวุธปืนและระเบิดที่พบอยู่กับศพผู้ตายนั้นจึงไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นอาวุธปืนและระเบิดของผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายเป็นเยาวชน เรียนอยู่ชั้น ม.5 และถูกยิงที่กลางหลัง 

จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่และมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย  ดังนั้นเมื่อผู้ตายได้ถึงแก่ความตายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว แม้ชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ ก็ต้องย่อมรับผิดฐานเป็นความรับผิดอย่างอื่น ตาม มาตรา 9 วรรค 1 (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  433  และมาตรา 1563 มาใช้โดยอนุโลม ตุลาการผู้แถลงคดีจึงเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามต้องร่วมกันหรือแทนกันรับผิดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง เป็นค่าปลงศพ 105,500 บาท และค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 25 ปี เป็นเงิน 1,500,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 1,605,500 บาท (หนึ่งล้านหกแสนห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลแก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดี

อย่างไรก็ตาม คำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีดังกล่าว ไม่ผูกพันตุลาการทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นองค์คณะผู้ทำการพิจารณาพิพากษาคดี

ศาลปกครองสงขลาจะได้แจ้งกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาให้คู่กรณีทราบในภายหลัง

อ่าน ข้อมูลประกอบ ถ้อยคำแถลงด้วยวาจาของผู้ฟ้องคดีทั้งสองและของตุลาการผู้แถลงคดี ได้ที่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net