ภาพขณะนำตัว 7 ผู้ต้องขังกรณรรณรงค์ประชามติมาขอฝากขังที่ศาลทหารผัด 2 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา
คำชี้อแจงระบุว่า ข้อเท็จจริงปรากฏดังนี้ 1. การควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ดังกล่าวเป็นการควบคุมตัวตามหมายขังของศาลทหารกรุงเทพพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาซึ่งถูกกล่าวหาว่า ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 กรณีห้ามมั่วสุมเกิน 5 คน และทำกิจกรรมยั่วยุปลุกปั่นทางการเมือง อันสืบเนื่องมาจากการดำเนินการเพื่อออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่ จ.สมุทรปราการ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 59 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหา ทั้ง 7 เป็นครั้งที่ 2 โดยมีการควบคุมตัวผู้ต้องขังไปยังศาลทหารกรุงเทพ ขณะที่ผู้ต้องขังลงจากรถยนต์ มีภาพผู้ต้องขังถูกพันธนาการเผยแพร่สู่สาธารณชนไปทั่วประเทศและทั่วโลก
ประธาน กสม. ขอชี้แจงดังนี้ 1) ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 เครื่องพันธนาการที่จะใช้แก่ผู้ต้องขังมี 5 ประเภท คือ (1) ตรวน (2) กุญแจมือ (3) กุญแจเท้า (4) ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้า และ (5) โซ่ล่าม กรณีการพันธนาการผู้ต้องขังทั้ง 7 เป็นการใช้กุญแจเท้า ไม่ใช่โซ่ตรวนตามที่มีการให้ข่าว
2) ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 ข้อ 28 วรรคสาม ในกรณีที่ต้องนำตัวคนต้องขังหรือคนฝากไปนอกเรือนจำ ถ้าใช้เครื่องพันธนาการ ให้ใช้กุญแจมือ เว้นแต่คนต้องขังในคดีอุกฉกรรจ์จะใช้ตรวน หรือกุญแจเท้า หรือชุดกุญแจมือและกุญแจเท้าก็ได้ และตามข้อ 30 ห้ามมิให้ใช้เครื่องพันธนาการอย่างอื่นซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ เว้นแต่ในกรณีจำเป็น ผู้บัญชาการเรือนจำจะอนุญาตให้ใช้เครื่องพันธนาการอย่างอื่น ซึ่งเห็นว่าเบากว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ก็ได้
3) โดยที่ กสม. ซึ่งเป็นองค์กรกลุ่ม ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง 7 คน ตามที่เป็นข่าว กสม. จึงยังไม่สามารถจะให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขังว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
คำชี้แจงของประธาน กสม. ระบุด้วยว่า การให้ข่าวกรณีการควบคุมตัวผู้ต้องขัง 7 คน เป็นการให้ข่าวของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะ กสม. ซึ่งเป็นองค์กรกลุ่ม หรือตัวแทนของ กสม. และสำนักงาน กสม. แต่ประการใด
4) ในกรณีการควบคุมตัวผู้ต้องขัง 7 คน ตามข่าวดังกล่าวข้างต้น เมื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ตัดสินใจใช้เครื่องพันธนาการใดแล้ว มาตรการที่พึงใช้เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ต้องขังในอนาคตควรเริ่มต้นพิจารณาใช้เครื่องแต่งกายของผู้ต้องขังให้สามารถปกปิดเครื่องพันธนาการไว้ และในระหว่างนำตัวผู้ต้องขังไปฝากขังต่อศาล ควรป้องกันมิให้มีการถ่ายภาพผู้ต้องขังดังกล่าว โดยอาจใช้ฉากกั้นมิให้มองเห็นภาพขณะผู้ต้องขังลงหรือขึ้นรถยนต์ที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังไปศาลหรือกลับจากศาล หรือใช้มาตรการอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
5) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2558 ประธาน กสม. และคณะได้เข้าพบ พล.อ.ไพบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อปรึกษาหารือข้อราชการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่สถาบันแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของไทยจะถูกลดสถานะจากระดับ A เป็น B รวมทั้งหารือ ข้อราชการเกี่ยวกับการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยจะต้องประสานการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงาน กสม. ซึ่งเป็นหน่วยแรกที่รับเรื่องร้องเรียนเรื่องการละเมิด สิทธิมนุษยชนจากประชาชน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
6) เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2559 กระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งที่ 94/2559 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือด้านส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนของประชาชน โดยคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการต่างๆ มีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการ กสม. หรือรองเลขาธิการ กสม. ที่ได้รับมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการคนที่ 1 และผู้อำนวยการกองส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้ได้เริ่มประชุมเพื่อดำเนินการประสานความร่วมมือด้านส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแล้ว และที่ผ่านมาการประสานงานภายใต้กลไกนี้ก็เป็นไปด้วยดี
7) หากการให้ข่าวของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติท่านใดที่มิใช่ความเห็นร่วมกันของ กสม. ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย หรือกระทบกระเทือนแก่บุคคลหรือองค์กรใด ประธาน กสม. ใคร่ขออภัยแทนมา ณ โอกาสนี้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)