30 มิ.ย. 2559 ที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา อ.เมือง จ.สงขลา คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ หรือ กป.อพช.ใต้ ได้ประกาศ “ปฏิญญา 30 ปี กป.อพช.ใต้ ภาคใต้การพัฒนาสู่ภูมิภาคสีเขียว” เป็นกิจกรรมปิดงาน "30 กป.อพช.ใต้ บทเรียนการเคลื่อนไหวประชาชนภาคใต้ (ชุมคน ชุมชน คนใต้)” ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2559 เป็นต้นมา โดยมีตัวแทนองค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ)สมาชิกเครือข่ายกว่า 20 องค์กร และตัวแทนชุมชนต่างๆทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งนักวิชาการและสื่อมวลชนสำนักต่างๆ เข้าร่วมกว่า 500 คน
โดย สมบูรณ์ คำแหง เลขาธิการ กป.อพช.ใต้ เป็นผู้นำอ่านปฏิญญาดังกล่าว โดยมีใจความสรุปว่า 30 ปีแห่งการลุกขึ้นมาจัดการตนเองของชุมชนภาคใต้ได้ก่อเกิดรูปธรรมการพึ่งตนเองในหลายประเด็น เช่น การจัดการประมง ทรัพยากรทะเลชายฝั่ง ที่ดิน พลังงาน น้ำ ระบบเกษตรทางเลือกที่ยั่งยืน เป็นต้น และก่อเกิดนวัตกรรมการจัดการมากมายจนสามารถสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ นิเวศวัฒนธรรม ท่ามกลางภัยคุกคามนานัปการอย่างรุนแรงตลอดมา จากกระแสทุนและกลไกของรัฐเองที่เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรสนองประโยชน์บนฐานการไม่เคารพกันและกัน
“หาก 30 ปีที่ผ่านมาไม่มีปฏิบัติการของชุมชนในการยับยั้งภัยคุกคามและสร้างรูปธรรมการจัดการตนเอง ภาพของภาคใต้วันนี้อาจจะไม่เป็นเช่นที่เราเห็นทุกวันนี้”
ปฏิญญาดังกล่าวยังยืนยันด้วยว่า 1.เราจะสร้างปฏิบัติการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและระบบเกษตรทางเลือก การปกป้องสิทธิชุมชน ชาติพันธุ์ ผู้บริโภคและสันติภาพสามจังหวัดชายแดนใต้ ต่อเนื่องเพื่อสร้างความสุขและความสมดุลแก่ชีวิตของคนภาคใต้ แม้อำนาจรัฐและทุนจะคุกคามมากขึ้นทุกวัน
2.เราจะสร้างรูปธรรมการจัดการด้านพลังงานของภาคใต้ให้สามารถพึ่งตนเองได้โดยจะขับเคลื่อนต่อเนื่องกันไป และคาดว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้าโซล่าเซลล์จะเกิดขึ้นทั่วทั้งภาคใต้
3.เราจะสร้างความร่วมมือของประชาชน วิชาการ เอ็นจีโอ สื่อมวลชน ในการขับเคลื่อนภาคใต้ไปสู่การจัดการตนเองอย่างเข้มแข็งยั่งยืน บนฐานทรัพยากรที่เรามีอยู่จริง
ปฏิญญาฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า ภาคใต้มีศักยภาพในการจัดการตนเองได้ ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคใต้ขึ้นอยู่กับการเกษตร ประมง ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งสามารถจ้างงานได้อย่างมหาศาล เป็นภูมิภาคที่มีรายได้ลำดับต้นของประเทศ หากภาครัฐและกลุ่มทุนจะเข้ามาจัดการก็ต้องปฏิบัติตามคำเรียกร้องโดยสรุป ดังนี้
1.ต้องยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของภาคใต้ เพราะทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่ามลพิษจากถ่านหินคือฆาตกรเงียบที่ฆาตกรรมมนุษย์มาแล้วไม่น้อย
2.ยกเลิกโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการสร้างอุตสาหกรรมหนัก นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เส้นทางขนส่งแลนบริดจ์ซึ่งจะส่งผลต่อการทำลายฐานทรัพยากรที่สำคัญตลอดชายฝั่งทะเลภาคใต้
3.หยุดการใช้อำนาจพิเศษโดยเฉพาะ ม.44 เพื่อออกคำสั่ง สร้างกฎหมายที่จะสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การเกิดขึ้นของโครงการหรือกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อฐานทรัพยากรโดยรวมของภาคใต้
4.รัฐธรรมนูญฉบับที่จะลงประชามติ มีประเด็นสิทธิชุมชนอ่อนด้อยลงกว่ารับธรรมนูญฉบับปี 2550 รวมถึงการจำกัดเสรีภาพชุมชน การเพิ่มอำนาจรัฐ ลดอำนาจประชาชนในหลายมาตรา ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยโดยประชาชน
ปฏิญญายังระบุว่า “เรากำหนดอนาคตการพัฒนาของเราได้ หากรัฐไม่คิดทำลายเราด้วยการสร้างรูปแบบการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม และการออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เราจึงขอยืนยันในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว และจะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจภาคใต้ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการทำเกษตร ประมง ท่องเที่ยว สามารถสร้างสมดุลชีวิตได้มากกว่าการพัฒนาให้เป็นแผ่นดินมลพิษจากการอุตสาหกรรมหนัก เราจึงขอประกาศว่าภาคใต้จะเป็นภูมิภาคที่จะพัฒนาไปสู่การพัฒนาสีเขียว”
ปฏิญญา 30 ปี กป.อพช.ใต้
ภาคใต้การพัฒนาสู่ภูมิภาคสีเขียว
30 ปีแห่งการลุกขึ้นมาจัดการตนเองของชุมชนภาคใต้ ได้ก่อเกิดรูปธรรมการพึ่งตนเองในหลากหลายประเด็น เช่น การจัดการประมง และทรัพยากรทะเลชายฝั่ง การจัดการที่ดิน การจัดการพลังงาน การจัดการน้ำ การสร้างรูปธรรมระบบเกษตรทางเลือกที่ยั่งยืน เป็นต้น และ ๓๐ ปี ที่ผ่านมาได้ก่อเกิดนวัตกรรมการจัดการมากมายจนสามารถสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ นิเวศวัฒนธรรม ท่ามกลางภัยคุกคามนานัปการที่รุกเร้าภาคใต้อย่างรุนแรงตลอดมา หาก 30 ปี ที่ผ่านมาไม่มีปฏิบัติการของชุมชนในการยับยั้งภัยคุกคามและสร้างรูปธรรมการจัดการตนเอง ภาพของภาคใต้วันนี้อาจจะไม่เป็นเช่นที่เราเห็นทุกวันนี้
เรายืนยันว่า 30 ปีที่ผ่านมาเป็นการเดินทางบนความยากลำบาก ด้วยกระแสแห่งทุนและกลไกของรัฐเองที่ถาโถมเข้ามาเพื่อการแย่งชิงการใช้ทรัพยากรสนองประโยชน์บนฐานการไม่เคารพกันและกัน แต่เรายืนยันว่าเส้นทางสายนี้คือทางเดินที่ถูกต้อง มีแต่การลุกขึ้นมาจัดการตนเองบนความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จะสามารถเข้าใจบริบทและก่อเกิดการจัดการที่ไม่ทำลายล้าง เราจึงยืนยันว่า
1. เราจะสร้างปฏิบัติการ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ สายน้ำ ทะเล ที่ดินและระบบเกษตรทางเลือก รวมถึงการปกป้องสิทธิชุมชน ชาติพันธุ์ ผู้บริโภคและความสงบสุขสันติภาพของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ต่อเนื่องจากเดิมเพื่อสร้างความสุขและความสมดุลแก่ชีวิตของคนภาคใต้แม้ว่าอำนาจรัฐและทุนจะคุกคามเรามากขึ้นทุกวัน
2. เราจะสร้างรูปธรรมการจัดการด้านพลังงานของภาคใต้ให้สามารถพึ่งตนเองได้โดยจะขับเคลื่อนต่อเนื่องกันไปนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและคาดว่าภายในอีก 5 ปีข้างหน้าโซล่าเซลล์จะเกิดขึ้นทั่วทั้งภาคใต้
3. เราจะสร้างความร่วมมือของประชาชน วิชาการ เอ็นจีโอ สื่อมวลชน ในการขับเคลื่อนภาคใต้ไปสู่การจัดการตนเองอย่างเข้มแข็งยั่งยืน บนฐานทรัพยากรที่เรามีอยู่จริง
เราเชื่อว่าภาคใต้มีศักยภาพในการจัดการตนเองได้ เพราะพื้นฐานของสภาพทางภูมิศาสตร์ และทุนแห่งรูปธรรมการจัดการที่สรรสร้างมาอย่างยาวนาน จะสามารถนำเราไปสู่วันข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคใต้ขึ้นอยู่กับการเกษตร ประมง ท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งสามารถจ้างงานได้อย่างมหาศาล และยิ่งเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเป็นภูมิภาคที่มีรายได้ลำดับต้นของประเทศและเป็นภูมิภาคที่มีความสุขและความพึงพอใจสูงสุดของประเทศ เราจึงขอยืนยันว่าเราสามารดำรงชีวิตในวันนี้ และจะไปสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงภายใต้พื้นฐานที่มีอยู่ หากภาครัฐและกลุ่มทุนจะต้องเคารพการตัดสินใจ และออกแบบการดำเนินชีวิตของเราเอง ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติตามคำเรียกร้องเราดังนี้
1. ต้องยกเลิกการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของภาคใต้ เพราะทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่ามลพิษจากถ่านหินคือฆาตรกรเงียบที่ฆาตรกรรมมนุษย์มาแล้วไม่น้อย ทั้งยังทำลายสิ่งแวดล้อมจนย่อยยับมาแล้วทั่วโลก การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจึงเท่ากับเป็นการทำลายศักยภาพของภาคใต้โดยตรงอย่างเลือดเย็น
2. ยกเลิกโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ และการสร้างอุตสาหกรรมหนัก นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เส้นทางขนส่งแลนบริดส์ซึ่งจะส่งผลต่อการทำลายฐานทรัพยากรที่สำคัญตลอดชายฝั่งทะเลภาคใต้ อันเป็นความไม่สอดคล้องกับศักยภาพของภาคใต้ที่มีอยู่ และจะนำไปสู่การทำลายความมั่นคงยั่งยืนทางเศรษฐกิจของคนใต้ในระยะยาว
3. หยุดการใช้อำนาจพิเศษ โดยเฉพาะ ม.44 เพื่อออกคำสั่ง สร้างกฎหมายที่จะสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การเกิดขึ้นของโครงการ หรือกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อฐานทรัพยากรโดยรวมของภาคใต้
4. รัฐธรรมนูญฉบับที่จะลงประชามติ ประเด็นสิทธิชุมชนอ่อนด้อยลงกว่ารับธรรมนูญฉบับปี 2550 เนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่งหายไปคือ “สิทธิที่จะดำรงชีพอยู่ได้อย่างปรกติและต่อเนื่องสิ่งแวดล้อมที่ไม่ก่อให้อันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือคุณภาพชีวิตของตนย่อมได้รับการคุ้มครอง...” รวมถึงการจำกัดเสรีภาพการชุมชน การได้รับข้อมูลข่าวสารสาธารณะซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจรัฐ ลดอำนาจประชาชน หลายมาตราด้วยการเพิ่มข้อความ “ตามสิทธิที่กฎหมายบัญญัติ” และ “อำนาจแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ...” โครงสร้างอำนาจอธิปไตยในการบริหารประเทศทั้งบริหาร นิติบัญญัติและองค์การอิสระ ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยโดยประชาชน
เรากำหนดอนาคตการพัฒนาของเราได้ หากรัฐไม่คิดทำลายเราด้วยการสร้างรูปแบบการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม และการออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เราจึงขอยืนยันในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว และจะดำเนินการเช่นนี้ต่อไป เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจภาคใต้ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการทำเกษตร ประมง ท่องเที่ยว สามารถสร้างสมดุลชีวิตได้มากกว่าการพัฒนาให้เป็นแผ่นดินมลพิษจากการอุตสาหกรรมหนัก เราจึงขอประกาศว่าภาคใต้จะเป็นภูมิภาคที่จะพัฒนาไปสู่การพัฒนาสีเขียว
เราขอประกาศที่จะยืนยันในท่าทีดังกล่าวนี้อย่างมุ่งมั่นร่วมกัน ผ่านกระบวนการเชื่อมร้อยเครือข่ายคนภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐที่เราไม่ต้องการ และจะประสานความร่วมมือระหว่างกันเพื่อสร้างรูปธรรมการพัฒนาที่จะนำพาภาคใต้ไปสู่ความมั่นคงยั่งยืนต่อไป ภายใต้แนวคิดการพัฒนาภาคใต้สู่สีเขียว และเราขอประกาศว่าเราจะร่วมมือกันที่จะต่อสู้กับทุกอำนาจที่ไม่ชอบธรรมทุกรูปแบบที่จะเข้ามาทำลายความเป็นภาคใต้ของเราอย่างถึงที่สุด
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้
30 มิถุนายน 2559
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)