ผมเห็นประชาไทลงบทความ "‘เหมืองแร่’ กับการจัดการผลกระทบ ‘สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ’" โดยคุณปริญญารัตน์ เลี้ยงเจริญ แล้วรู้สึกชัดว่านักวิชาการที่สังกัด TDRI ผู้นี้เอียงจริงๆ ผมในฐานะที่ศึกษาข้อมูลมา จึงขอเสนอบทความนี้ส่งประชาไทบ้างเพื่อมองต่างมุมเพื่อสังคมอุดมปัญญา
1. คุณปริญญารัตน์เขียนว่าระบบนิเวศได้รับผลกระทบ แต่เป็นเรื่องเท็จเพราะสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือที่ นร.0505/16885 มื่อ 12 พฤษภาคม 2559 (คลิ้ก) ชี้แจงว่าพื้นที่ดินบริเวณเหมืองทองคำอัครามีการปนเปื้อนเหล็ก แมงกานีสและสารหนูในระดับสูงมาก่อนมีการทำเหมืองแล้ว (ไม่ใช่เพราะผลของเหมือง) คุณภาพน้ำใต้ดินส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในนาข้าวยังไม่ได้พิสูจน์ (แต่ชาวบ้านไปแจ้งความแล้วว่าไม่จริง เอ็นจีโอและนักวิชาการโกหกที่โพนทะนาเรื่องนี้) พบว่า 1/5 ของคุณภาพน้ำมีการปนเปื้อของเหล็กและแมงกานีสเกินค่ามาตรฐาน ส่วนพืชผักก็ไม่แตกต่างจากในบริเวณอื่นและไม่เกินค่ามาตรฐาน ฝุ่น เสียงและแรงสั่นสะเทือนก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และยังไม่มีข้อสรุปว่าโลหะหนักทำให้เกิดการเจ็บป่วยจริง
2. คุณปริญญารัตน์เขียนว่าควรเรียกเก็บค่าปรับจากผู้ประกอบการเหมืองที่กระทำผิด กรณีนี้เป็นการกล่าวอ้างส่งเดช เพราะยังไม่มีการพิสูจน์ถึงการป่วยหรือเสียชีวิตเพราะเหมืองทองคำอัคราเลย คุณปริญญารัตน์ควรถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท สำหรับการตายของชาวบ้าน 2 รายคือ นายสมคิด ธรรมพเวช ภริยาของผู้ตายก็แจ้งว่า “จากผลการชันสูตรศพสามี. . .ไม่มีสาเหตุมาจากการทำงานในเหมืองแร่ทองคำชาตรี แต่ยังมีผู้ไม่หวังดีแอบอ้างการเสียชีวิตของสามีตน นำไปเป็นข้ออ้างในการต่อต้านเหมืองแร่ทองคำชาตรีอยู่อีก นอกจากนี้ ยังมีการไปแอบอ้างรับบริจาคเงินด้วย โดยที่ตนเองและครอบครัวไม่ได้อนุญาต และไม่ได้รับเงินที่รับบริจาค" (คลิ้ก) ส่วนกรณีนายเฉื่อย บุญส่ง ก็เสียชีวิตเพราะเป็นโรตตับแข็ง (bit.ly/1VuKzxN) ถ้ามีมลพิษ คนงานเหมืองคงตายก่อน หรือรีบลาออกไป แต่ในความเป็นจริงคนงานและชาวบ้านก็อยู่ในบริเวณรอบเหมือง คนงานเหมืองก็ยังสามารถบริจาคโลหิตได้ ถ้ามีโลหะหนักจริงๆ ก็คงไม่มีใครรับบริจาค ส่วนที่เป็นผื่นคัน บางท่านคงไปฉีดยาฆ่าแมลงมาแล้วไมได้ล้างตัวให้สะอาด เป็นต้น
3. คุณปริญญารัตน์เขียนด้วยความไม่รู้อีกว่าควรพิจารณาค่าภาคหลวงใหม่เพื่อครอบคลุมต้นทุนทางสังคมสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนที่เสียหายไป โดย (แกล้ง) ไม่รู้เรื่อง บมจ.อัครารีซอสเซส ให้เงินพัฒนาท้องถิ่นหลายสิบล้านบาท รวมๆ แล้วคงเป็นเงินหลายร้อยล้านบาทไปแล้ว คุณปริญญารัตน์ควรมีความรอบรู้ว่า ผลตอบแทนจากการทำเหมืองนั้นมหาศาลเพียงใด การปิดเหมืองทอง ทำให้เศรษฐกิจ 4,000 ล้านบาทต่อปี การมีเหมืองทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) จังหวัดพิจิตรในปี 2541 ที่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 6 หมื่นล้านบาทในปี 2556 . . . เฉพาะรายได้ค่าภาคหลวงแร่ในช่วงปี 2541 ถึงปี 2556 ยังคิดเป็น 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) ทั้งหมดของจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์อีกด้วย . . . พิจิตรมี GDP เป็นอันดับ 4 ของภาคเหนือ" (คลิ้ก)
ผมก็เห็นแก่ประชาชนโดยเฉพาะประชาชนคนเล็กคนน้อย ชาวบ้านในท้องที่มากกว่าเหมืองทองคำอยู่แล้ว ถ้าผมทราบว่าเหมืองทำร้ายประชาชน ผมก็ไม่ยอม แต่ความจริงก็คือ ถ้าไม่มีเหมืองคือการฆ่าชาวบ้าน ทำให้พวกเขาบ้านแตกสาแหรกขาด ชุมชนแตกสลายเพราะไม่มีงานทำ พวกเอ็นจีโอและนักวิชาการเอาดีใส่ตัว จะรับผิดชอบไหม
คุณปริญญารัตน์ไม่ควรเขียนโดยไม่มีข้อมูล ไม่มีการอ้างอิง ใช้ความรู้สึก (และลางสังหรณ์?) จะทำให้เสียชื่อ TDRI ไปด้วย เดี๋ยวเขาจะเข้าใจว่า TDRI ทั้งยวงก็เป็นแบบนี้จะไม่ดีนะครับ