Skip to main content
sharethis

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองออกแถลงการณ์ยืนยันเสรีภาพในการเผยแพร่เนื้อหาวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นสิทธิที่กระทำได้ เตือนคสช. ทำประชามติแต่ปิดกั้นคุกคามเสรีภาพ บังคับให้ ปชช.ได้รับข้อมูลด้านเดียว แม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ แต่ไม่มีความชอบธรรม

ภาพ เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ายึดเอกสาร 7 เหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ NDM และเตรียมเชิญตัว เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิฯ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งกำลังถือเอกสารดังกล่าวอยู่ ไปยัง สน.ปทุมวัน โดยแจ้งว่า ต้องการพูดคุยด้วย แต่เมื่อผู้สื่อข่าว และผู้ร่วมงาน เข้าไปดูเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ได้เปลี่ยนใจจากการขอเชิญตัว เป็นขอนามบัตรแทน เพื่อที่จะติดต่อเพื่อเรียกไปคุยวันอื่น

26 เม.ย. 2559 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันเสรีภาพในการเผยแพร่เนื้อหาวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญว่า เป็นสิทธิที่กระทำได้ โดยระบุว่า  25 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีเสวนาทางวิชาการว่าด้วยเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญและได้มีการเผยแพร่เอกสารวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญใน 7 ประเด็น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเข้ายึดเอกสารและพยายามเชิญตัวนักวิชาการไปสถานีตำรวจ ต่อมา พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการ “ก่อความวุ่นวาย” ตามมาตรา 61 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และมีเนื้อหาผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อีกทั้งยังชี้นำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการเอาผิด และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ คสช.และกกต.แสดงท่าทีชัดเจนว่า หลังจากนี้ จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ใดก็ตามที่แสดงความคิดเห็นวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง ขอยืนยันในจุดยืนดังต่อไปนี้

1. การเผยแพร่เอกสารวิจารณ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในงานเสวนาดังกล่าว และการวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะมีต่อไปอีกนั้น เป็นหนึ่งในสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่พึงแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การแสดงความคิดเห็นสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การพูด เขียน อภิปราย เผยแพร่เอกสาร งานศิลปะ ฯลฯ ตราบเท่าที่วิธีการเหล่านี้เป็นไปอย่างสันติและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

2. หาก คสช. เห็นว่า การวิจารณ์เหล่านั้นมีเนื้อหาที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง คสช. ก็ควรจะชี้แจงเหตุผลที่ตนเชื่อว่าถูกต้อง หรือจัดเวทีให้ทั้งสองฝ่ายอภิปรายกันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน แต่ไม่ควรใช้กฎหมายที่ไม่ชอบธรรม เช่น พรบ.ประชามติ มาเป็นเครื่องมือคุกคามและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

3. ที่ผ่านมา เครือข่ายนักวิชาการฯได้เคยเรียกร้องไปแล้วว่า กระบวนการทำประชามติต้องเปิดกว้าง และไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นจากประชาชนทุกฝ่าย คสช.และกกต.ไม่ควรอ้างพรบ.ประชามติให้หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐสามารถประชาสัมพันธ์สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเต็มที่ แต่กลับใช้อำนาจปิดกั้น ข่มขู่ ดำเนินคดีกับผู้ที่แสดงความเห็นวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ

4. เครือข่ายนักวิชาการฯ ใคร่ขอเตือนคสช. ว่า การทำประชามติภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปิดกั้นคุกคามเสรีภาพ และบังคับให้ประชาชนได้รับข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวนั้น ถึงแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติในที่สุด แต่คสช.ก็ไม่อาจที่จะอ้างความชอบธรรมใด ๆ ให้แก่ผลประชามติและร่างรัฐธรรมนูญนี้ได้เนื่องจากเป็นกระบวนการประชามติที่มีลักษณะด้านเดียว ปิดกั้นความรับรู้ของประชาชน และจึงขาดความชอบธรรม

เครือข่ายนักวิชาการฯ ขอสนับสนุนการแสดงความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่มต่อร่างรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้ คสช.และ กกต.ยุติการคุกคามการแสดงความคิดเห็นของประชาชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net