Skip to main content
sharethis

ศาลสั่งเลื่อนไต่สวน คดีบริษัททุ่งคำฯ ยื่นฟ้อง ไทยพีบีเอส และบุคลากรรวม 5 ราย ข้อหารายงานข่าวผลกระทบในพื้นที่บิดเบือน ด้านทนายความจำเลยเผยแนวทางสู้คดี ขอพิจสูจน์ความจริงเรื่องผลกระทบ พร้อมขอบริษัทยุติการดำเนินคดีกับเยาวชน

21 มี.ค.2559 เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ3756/2558 ที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ฟ้ององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย(ส.ส.ท) หรือ ไทยพีบีเอส และบุคลากรของไทยพีบีเอสรวม 5 ราย ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารและโทรทัศน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 326, 328, 332 พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และ 16 จากกรณีการรายงานข่าวนักข่าวพลเมือง ตอน ค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2558 โดยเยาวชนนักข่าวพลเมืองในพื้นที่ เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50 ล้านบาท ให้ ส.ส.ท.หยุดประกอบกิจการโทรทัศน์เป็นเวลา 5 ปี จำเลยในคดีนี้ประกอบด้วย 1.นางสาววิรดา แซ่ลิ่ม ผู้ประกาศข่าวนักข่าวพลเมือง 2.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) 3.นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.ในขณะนั้น 4.นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ และ 5.นายโยธิน สิทธิบดีกุล เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 5 ตามลำดับ

โดยวันนี้ศาลได้สั่งเลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องไปในวันที่ 30 พ.ค. 2559 เนื่องจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์แถลงว่า ได้ขอเอกสารสำคัญจากสำนักงานอุตสาหกรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ จังหวัดเลย ซึ่งเป็นเอกสารที่จะยืนยันว่าลำน้ำฮวยไม่ได้ไหลผ่านเหมืองแร่ ซึ่งเป็นประเด็นในการฟ้องหมิ่นประมาท แต่ยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าว จึงขอเลื่อนนัดการไต่สวนมูลฟ้องออกไปก่อน โดยทนายความฝ่ายจำเลยเห็นว่า หากเป็นเอกสารสำคัญในคดีก็ไม่ขอคัดค้าน ทั้งนี้ ศาลกำชับให้โจทก์เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบในนัดหน้า ไม่เช่นนั้นศาลจะสั่งตามเห็นสมควร

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีการรายงานข่าวดังกล่าว นอกจากบริษัทจะดำเนินการฟ้องร้องกับไทยพีบีเอสแล้ว ยังได้ดำเนินการฟ้องร้องเยาวชนนักข่าวพลเมืองซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วย โดยในกรณีของเยาวชนได้ดำเนินการในสองทาง ทางแรกยื่นฟ้องต่อศาล ซึ่งการดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญากับเยาวชนนั้น จะต้องทำการขออนุญาติฟ้องร้องกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการขอฟ้องแล้ว แต่สถานพินิจมีผลการพิจารณาว่า ไม่อนุญาติให้ฟ้องร้อง ส่วนการดำเนินคดีในอีกทางหนึ่ง บริษัทได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ที่สถานนีตำรวจนครบาลมีนบุรี ระหว่างนี้ กำลังอยู่ในช่วงรวบรวมหลักฐาน แต่ยังไม่ได้มีการเรียกสอบปากคำนักข่าวพลเมืองแต่อย่างใด โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมามีความพยายามในการดำเนินการไกล่เกลี่ย โดยบริษัทยินดีที่จะยุติการดำเนินการต่างๆ กับเยาวชน และกันตัวไว้เป็นพยาน แต่มีเงื่อนไขว่า เยาวชนคนดังกล่าวต้อง ให้ข้อมูลว่า ใครเป็นผู้สั่งให้รายงานข่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในการนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ได้ใส่ชื่อเยาวชนนักข่าวพลเมืองไว้เป็นพยานด้วย ทั้งนี้ทีมทนายความฝ่ายจำเลยให้ข้อมูลว่า ยังไม่เห็นหมายเรียกให้เยาวชนไปเป็นพยานแต่อย่างใด

รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความจำเลยที่ 1 ให้ข้อมูลว่า คดีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ คดีที่บริษัทของฟ้องเยาวชนนักข่าวพลเมือง เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ต่อกรณีดังกล่าวฝ่ายจำเลยเห็นว่า บริษัทควรยุติความพยามยามที่จะดำเนินคดีกับเด็ก ซึ่งเรื่องนี้ทางตัวแทนบริษัทได้ให้ข้อมูลว่า ผู้บริหารกำลังพิจารณาอยู่

รัษฎา กล่าวต่อไปถึงการที่ฝ่ายบริษัทใส่ชื่อเยาวชนนักข่าวพลเมือง เป็นพยานโจทก์ ไว้ในการไต่สวนมูลฟ้องว่า ไม่ทราบจุดประสงค์ของฝ่ายโจทก์ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงแรกที่บริษัทพยายามดำเนินคดีกับเยาวชนนั้น อาจเป็นเพราะต้องการต่อรอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคดีที่ฟ้องร้องไทยพีบีเอสหรือไม่

รัษฎา กล่าวด้วยว่า แนวทางการสู้คดีในคดีนี้ เนื่องจากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง จำต้องมีการพิสูจน์ให้ศาลได้เห็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่สื่อได้นำเสนอไปนั้นเป็นความจริง และเป็นเรื่องสาธารณะ ไม่ได้เป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อใส่ร้ายป้ายสีแต่อย่างใด โดยขณะนี้มีพยานหลักฐานจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายส่วนแล้ว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net