Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

ไม่ว่าจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลใด ๆ ที่ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ในปัจจุบัน  ที่พร้อมใช้ ม.44 เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  เพื่อลดขั้นตอนและกระบวนการดำเนินงานที่ล่าช้าและติดขัดทั้งหลาย  หาช่องทางการเปิดประมูลให้เร็วขึ้น  โดยผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับโครงการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP)  ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้มีระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้  ภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมาเสมอ  ซ้อนทับกันกับภาพการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง  รถไฟทางคู่เชื่อมต่อภูมิภาคต่าง ๆ  โครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล  หรือโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่อะไรอื่นอีกหลายอย่างตามนโยบายของรัฐและแผนการลงทุนของนักลงทุนเอกชน  ก็คือเรื่องเล่า ‘โอ่งภูเขา’ ของป้าหอม

แหล่งหินดอยแม่ออกฮู  ต.ผางาม  อ.เวียงชัย  จ.เชียงราย  หนึ่งในภูเขาลูกโดดในเขตท้องที่ตำบลผางาม ที่ถูกประกาศกำหนดให้เป็นแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรม  มีปริมาณสำรอง 48.90 ล้านเมตริกตัน  บนเนื้อที่ 240 ไร่ ครอบคลุมภูเขาทั้งลูก  
คัดลอกจาก  http://mis.dpim.go.th/sourcestone-service_public/sourcestone_data/mapshow.html?resource_id=3DCJA  (เว็บไซต์กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่)  เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559


“ในดอยแม่ออกฮูมันเป็นโอ่งภูเขา”  ป้าหอม  หรือนางหอมหวล บุญเรือง  นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งหนึ่งด้านปีกซ้ายชั้นเกือบบนสุดของศาลากลางจังหวัดเชียงราย  เริ่มต้นเท้าความเป็นมาให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน  ภายใต้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ฟัง  เมื่อครั้งลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเรื่องร้องเรียนการทำเหมืองหินที่ดอยแม่ออกฮู  ต.ผางาม  อ.เวียงชัย  จ.เชียงราย  เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556

ผู้หญิงวัยเลย 60  ตัวผอมเล็ก  ผิวคล้ำแดดจากการตรากตรำทำงานหนัก  เห็นอาการอ่อนล้าเด่นชัดในดวงตาลึกใต้โหนกแก้มสูง  เธอคงเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังเป็นร้อยครั้งแล้ว  “มันมีลักษณะเป็นตาน้ำไหลออกมาจากโอ่ง  ไหลตลอดทั้งปี” 

แต่น่าแปลก  เมื่อถ้อยคำเริ่มพรั่งพรูออกมากลับเห็นบุคลิกตรงกันข้าม  ความอ่อนล้าจางหายไปจากแววตา  กลับเป็นดวงตาที่พุ่งทะลวงผู้มองเธอแทน  โดยเฉพาะนักการเมืองท้องถิ่นคู่กรณีที่มาชี้แจงกับอนุกรรมการด้วยยังนั่งเบือนหน้าหนีไม่สบตา  ผสานกับเสียงแจ่มชัดทุกคำ  ไม่แผ่วเบาหล่นหายไปในระหว่างประโยค  “มีผู้ใช้น้ำจากดอยแม่ออกฮูทำการเกษตรพื้นที่พันกว่าไร่  ทุกเดือนเก้าเป็งชาวบ้านจะร่วมใจกันประกอบพิธีถวายช้างเผือก  ที่นี่มีปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืดโดยธรรมชาติแห่งเดียวในตำบลผางาม”

เธอใช้เวลาอีกไม่นานนักกับเรื่องเล่าที่พยายามชี้แจงทำความเข้าใจให้อนุกรรมการฯภายใต้คณะกรรมการสิทธิฯชุดที่สองได้รับทราบปัญหาเพื่อที่จะหาทางแก้ไข  ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2545  เธอเล่าเรื่องนี้ให้คณะกรรมการสิทธิฯชุดแรกฟังไปแล้วหลายครั้ง  และคณะกรรมการสิทธิฯชุดแรกก็มีรายงานตรวจสอบออกมาแล้วด้วยเช่นกัน  ข้อเรียกร้องของเธอก็คือให้หยุดสัมปทานทำเหมืองหินที่ดอยแม่ออกฮูเสีย  เพื่อรักษาโอ่งภูเขาเอาไว้ให้กับชาวบ้านได้มีน้ำทำนา  มีปูปลาได้กิน  แต่นักการเมืองท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหารของตำบลผางามที่มาชี้แจงต่ออนุกรรมการฯในครั้งนั้นด้วยก็ยังคงยืนกรานที่จะให้เหมืองหินดำเนินกิจการต่อไปได้

ย้อนหลังไปในช่วงเวลาที่อนุกรรมการฯภายใต้คณะกรรมการสิทธิฯชุดแรกลงพื้นที่เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2545  อีกสองสัปดาห์ต่อมา  บุญยงค์ อินต๊ะวงศ์  ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านร่องห้า  ต.ผางาม  อ.เวียงชัย  จ.เชียงราย  ที่ร่วมกับป้าหอมและชาวบ้านหลายร้อยคนลุกขึ้นมาคัดค้านการระเบิดและย่อยหินที่ดอยแม่ออกฮูถูกคนร้ายยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเสียชีวิตคาบ้านพักเมื่อคืนวันที่ 20 ธันวาคม 2545

ความหวั่นเกรงต่ออิทธิพลทำให้ไม่มีพยานยืนยันเพื่อจับตัวคนยิงมาลงโทษ  จนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันคนร้ายก็ยังลอยนวล  แม้อนุกรรมการฯภายใต้คณะกรรมการสิทธิฯชุดแรกจะออกรายงานตรวจสอบและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาที่สำคัญ  คือ  หนึ่ง-ให้ กพร. กำกับดูแลผู้ได้รับประทานบัตรระเบิดหินบริเวณดอยแม่ออกฮูดำเนินการเฉพาะในขอบเขตที่ได้รับประทานบัตร  หากมีผลกระทบใดต่อแหล่งน้ำในถ้ำใต้ภูเขาต้องหยุดประกอบการทันที  และไม่อนุญาตการต่ออายุประทานบัตรที่จะหมดอายุลงในวันที่ 12 สิงหาคม 2559  ของบริษัท เวียงชัยผางามก่อสร้าง จำกัด  รวมทั้งกำหนดเป็นนโยบายไม่อนุญาตให้ทำเหมืองแร่ไม่ว่าประเภทใด ณ บริเวณดอยแม่ออกฮูต่อไป  และสอง-ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยุติการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของผู้ประกอบการทุกแปลงบริเวณดอยแม่ออกฮู  และดำเนินการประกาศให้ดอยแม่ออกฮูเป็นเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม 

แต่การระเบิดและย่อยหินที่นั่นก็ยังคงดำเนินต่อไป 

เจ้าหน้าที่รัฐ-ราชการ  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายเพิกเฉยกับความเดือดร้อนและความตายของชาวบ้าน  จากผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำสำคัญสำหรับทำการเกษตรของชุมชนที่อยู่ในถ้ำใต้ดอยแม่ออกฮู  รวมทั้งเสียงดังจากเครื่องจักรและรถขนหินผ่านเข้าออกชุมชนและฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายเข้มข้น  ทั้งสร้างความเดือดร้อนรำคาญและเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย  และความขัดแย้งรุนแรงจนนำมาซึ่งการสังหารบุญยงค์ อินต๊ะวงศ์เพื่อปิดปากชาวบ้านที่เหลือให้เงียบ

ณ เวลานี้  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุญยงค์ อินต๊ะวงศ์  หรือเรื่องของป้าหอมและชาวบ้านที่นั่นอีกหลายร้อยชีวิต  ก็ได้เงียบหายไปพร้อมกับการยังคงระเบิดและย่อยหินอยู่ที่นั่น  คู่กรณีไม่ว่าจะเป็น บริษัท เวียงชัยผางามก่อสร้าง จำกัด  และห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงรายธนะวงศ์  ยังอยู่ครบ  รวมทั้งในละแวกตำบลเดียวกันยังมีอีกสองบริษัทที่ได้สัมปทานหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างเช่นเดียวกันกับสองผู้ประกอบการแรก  ได้แก่  บริษัท เชียงรายแลนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด  และบริษัท หาญเจริญเอนเตอร์ไพรส์เชียงราย จำกัด

สิบกว่าปีหลังการตายของบุญยงค์ อินต๊ะวงศ์  อนุกรรมการฯภายใต้คณะกรรมการสิทธิฯชุดที่สองก็ได้มาพบป้าหอมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าในกรณีร้องเรียนดังกล่าว  แต่การประชุมในวันนั้นไม่มีข้อสรุปใด ๆ เพราะคณะกรรมการสิทธิฯมีอำนาจหน้าที่เพียงแค่ทำรายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ชี้ให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิที่ส่งผลเสียหายต่อธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ-ราชการและบริษัทเอกชนต่าง ๆ  แล้วส่งรายงานต่อให้รัฐบาลและหน่วยงานราชการต่าง ๆ นำไปพิจารณาปฏิบัติและสั่งการ  แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่สั่งการหน่วยงานราชการใด ๆ โดยตรงได้  

หลังจากเลิกประชุม  บุคลิกของป้าหอมก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิม  เดินออกจากห้องประชุมไปด้วยแววตาอ่อนล้าเหมือนตอนเริ่มต้นเข้ามา  คนที่อ่อนล้าแค่ท่าเดินก็เห็นชัดว่าอ่อนล้า  แค่แกว่งแขนระหว่างเดินก็หมดเรี่ยวแรงไม่กระฉับกระเฉง

อีกหลายพื้นที่ของประเทศ  หลายครั้งหลายหนที่การต่อสู้ของชาวบ้านต่อสัมปทานระเบิดและย่อยหินมักนำมาซึ่งความสูญเสียถึงชีวิต  ครูประเวียน บุญหนัก  เลขาธิการสมัชชาเกษตรรายย่อยภาคอีสาน เขต 4  ผู้นำการคัดค้านเหมืองหินและโรงโม่หินที่ภูผาน้อยของบริษัท สุรัตน์การศิลา จำกัด  ต.ผาน้อย  อ.วังสะพุง จ.เลย  ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าที่ว่าการอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย  เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2538  นายทองม้วน คำแจ่ม  กำนัน ต.ดงมะไฟ  อ.สุวรรณคูหา  จ.หนองบัวลำภู  ผู้นำการคัดค้านสัมปทานโรงโม่หินที่บริเวณผายา ผาจันได  ณ ท้องที่ปกครองของเขา  ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2542  พร้อม ๆ กันอีกคน  นายสม หอมพรหมา  ชาวบ้านวังหินซา  ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมกำนันทองม้วน  นายพิทักษ์ โตนวุธ  อดีตประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ที่ปรึกษาชาวบ้านลุ่มน้ำชมพู  ต.ชมพู  อ.เนินมะปราง  จ.พิษณุโลก  ที่ร่วมคัดค้านการระเบิดหินและโรงโม่หินที่เทือกเขาผาแดงรังกายกับชาวบ้าน  ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544


"ภาพเขาคูหามุมสูง  ต.คูหาใต้  อ.รัตภูมิ  จ.สงขลา  ผ่านการระเบิดและย่อยหินมาตั้งแต่การใช้มาตรา 9 
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน  จนถูกกำหนดให้เป็นแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรม  ตามประกาศกระทรวง
ฉบับที่ 77 (2539)  ภายใต้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510  ปัจจุบันนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่กำลังกดดัน
และข่มขู่คุกคามชาวบ้านอย่างหนักเพื่อที่จะกลับเข้ามาทำเหมืองหินใหม่อีกครั้งให้ได้  สวนทางกับชาวบ้านในนาม
เครือข่ายพิทักษ์สิทธิชุมชนเขาคูหาที่ฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกประกาศกำหนดแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรม  เพื่อหวังที่จะประกาศเขาคูหาให้เป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคต  ปัจจุบันศาลปกครองได้รับฟ้องแล้ว  กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาคดี  หินที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ  มีสารซิลิกาและสารประกอบอื่นสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์  ถูกส่งไปขายสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเทศอินเดีย 

คัดลอกจาก  https://www.youtube.com/watch?v=SQPqOdqUNrY  เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559

และอีกหลายพื้นที่ของประเทศที่คนเล็กคนน้อยลุกขึ้นมาต่อสู้การระเบิดและย่อยหินยังถูกคุกคามต่อเนื่อง  ท่ามกลางอันตราย  แต่เจตจำนงค์ในการมีชีวิตนั้นสูงส่ง  ถึงแม้จะถูกคุกคามอย่างต่อเนื่องก็ยังคงต่อสู้คัดค้านอยู่  ด้วยเป้าหมายที่เรียบง่ายและชัดเจน  ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน  ก็เพียงแค่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี  ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี  กินอิ่ม  นอนอุ่น  สงบสุข 

นับตั้งแต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2538  กำหนดให้มีแผนปฏิบัติการเพื่อเปลี่ยนการระเบิดและย่อยหินไปเป็นเทคโนโลยีการทำเหมืองหิน  และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศกฎกระทรวง ฉบับที่ 77 (พ.ศ. 2539)  รองรับเพื่อกำหนดให้หินทุกชนิดเป็นแร่ชนิดหินประดับ  หรือแร่ชนิดหินอุตสาหกรรม  โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2539  ส่งผลให้กิจกรรมการระเบิดและย่อยหินตามมาตรา 9  แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมที่ดิน  เปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กพร.  ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510  แทน  และตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวกำหนดให้ต้องทำการประกาศแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ด้วย  ปัจจุบันรัฐได้ประกาศกำหนดแหล่งหินอุตสาหกรรมไปแล้วกว่า 10 ครั้ง  มีจำนวนแหล่งหินใน 53 จังหวัดทั่วประเทศถูกประกาศไปแล้ว 327 แหล่ง  บนพื้นที่ 145,911 ไร่  ปริมาณสำรอง 9,417 ล้านเมตริกตัน (1)

ไม่ว่านโยบายของรัฐจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย  โดยอ้างความจำเป็นของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น  จึงทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างประเภทต่าง ๆ ขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย  โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565  ในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่ประกาศเดินหน้าเร่งรัดผลักดันรถไฟทางคู่หลายเส้นทางหลายพันกิโลเมตร  และระบบขนส่งเชื่อมโยงอื่น ๆ ทั้งทางบก  ทางน้ำ  ทางอากาศ  ด้วยงบประมาณที่สูงกว่าเดิมอีกครึ่งหนึ่งสำหรับโครงการในแบบที่แทบลอกเลียนมาจากโครงการยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์  คือ  จาก 2 ล้านล้านบาท  เพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาทเป็นอย่างต่ำ  อันเป็นผลให้ความต้องการใช้หินซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้นมาก  อย่างไรก็ตาม  นโยบายการประกาศกำหนดแหล่งหินเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของรัฐมีความผิดพลาดอย่างยิ่ง  ตรงที่การกำหนดแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมหลายพื้นที่ได้ทับซ้อนลงไปในพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร  พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ  ที่สาธารณประโยชน์  ป่าชุมชนใช้สอย  แหล่งท่องเที่ยว  แหล่งโบราณวัตถุ  โบราณสถาน  แหล่งอนุรักษ์ด้านศิลปวัฒนธรรมและโบราณคดี  ของชุมชนท้องถิ่น  ไม่เว้นแม้กระทั่งแหล่งธรณีวิทยาและชีวธรณีวิทยาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้เพื่อการศึกษาย้อนอดีตสู่กำเนิดโลกและสิ่งมีชีวิตในอดีตก็ยังถูกกำหนดเป็นแหล่งหินเพื่อการทำเหมืองหินอุตสาหกรรมซ้อนทับลงไป

ท่ามกลางนโยบายและโครงการพัฒนาในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. ที่ถาโถมเข้าใส่  ความพยายามที่จะลดกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณาในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP)  และกระบวนการประเมินหรือวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA )  ให้มีระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้เพื่อทำให้การเปิดประมูลรวดเร็วขึ้น  เป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้กระทำอย่างโจ่งแจ้งและรวบรัดไม่ฟังเสียงประชาชน  ด้วยการประกาศใช้ ม.44  แต่พอเห็นกระแสสังคมไม่ตอบรับจึงเปลี่ยนรูปแบบการใช้ ม.44 ให้นุ่มนวลขึ้น  โดยจำแลง ม.44  เป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558  เรื่อง  มาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track)  โดยเห็นชอบผ่อนปรนเงื่อนไขศึกษาความเป็นไปได้และศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโครงการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ  จากระยะเวลา 1 ปี 10 เดือน  เหลือ 9 เดือนแทน  โดยอ้างว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในการกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรา 18 (8) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556  ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างใหม่  ที่แต่เดิมหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องศึกษา  พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดไว้  เช่น  การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ  การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม  การจัดซื้อจัดจ้าง  ฯลฯ  ตามลำดับก่อนหลัง  แต่มติ ครม.ดังกล่าวสามารถให้หน่วยงานต่าง ๆ ศึกษา  พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตัวเองไปพร้อม ๆ กันได้เลย  ไม่ต้องรอลำดับก่อนหลังอีกต่อไป

ต่างกันมากกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ภาคประชาสังคมออกมาคัดค้านโจมตีโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท  และโครงการเงินกู้เพื่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้านบาท  กันอย่างเอิกเกริก  ข้อโจมตีหนึ่งต่อรัฐบาลชุดที่แล้วเกี่ยวกับโครงการเงินกู้เพื่อการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท  ก็คือการออกแบบวิธีการประมูลแบบลัดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด คือ หาผู้ชนะการประมูลก่อนแล้วจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)  ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535  หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ ย้อนหลัง

แต่กับรัฐบาลนี้พวกเขาเลือกที่จะปิดปากตัวเอง

ท่ามกลางบรรยากาศความหวาดกลัวในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.  คนที่ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตัวเองได้ดีที่สุดคือพวกประชาสังคม  องค์กรพัฒนาเอกชน  และปัญญาชนผู้มีการศึกษาทั้งหลาย  ซึ่งมีพฤติกรรมที่ชอบอยู่ส่วนบนของชบวนการเคลื่อนไหวของประชาชน  รอเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น  และฉกฉวยผลประโยชน์เฉพาะหน้า  เรายังเห็นดวงตาแห่งความเอื้ออาทรของคนทุกข์คนยาก  คนเล็กคนน้อยในแผ่นดิน  ที่ยืนหยัดต่อสู้เพียงแค่ว่าภูเขาลูกนั้นมันคือวิถีชีวิต  คือสิ่งจรรโลงใจ  คือความสุข  ที่พร้อมจะยอมแลกชีวิตเพื่อปกป้องมัน

  

อ้างอิง

[1] ข้อมูลเข้าถึงได้ที่  http://mis.dpim.go.th/sourcestone-service_public/sourcestone_data/index.html  (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่)  คัดลอกเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559"
   
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net