Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis



ในรอบปีที่ผ่าน  ความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ยืดเยื้อและยาวนานมากว่า 10 ปี  ถูกเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากมายทั้งจาก Facebook , Line หรือจากเวบไซต์ข่าวต่างๆ  เป็นต้น  รวมทั้งสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวจากการบอกกล่าวของคนรอบข้างด้วย  สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดเจน  ก็คือ  น้ำเสียงและท่าทีของคนกลุ่มหนึ่ง  ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สลิ่ม ที่กลายพันธุ์มาจากคนเสื้อเหลือง  ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงข้ามเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา  จากที่เคยสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง  ชื่นชมและชื่นชอบการปฏิวัติรัฐประหารและการปกครองที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด  กลับกลายมาเป็นเสียงบ่นดังๆ อยู่ในใจ  ที่ไม่สามารถบอกใครได้  หากแต่ปรากฏออกมาทางแววตาที่ไร้ความรู้สึก  จนสามารถจับกระแสและสัมผัสถึงอะไรบางอย่างลึกๆ ข้างในว่า  มีบางอย่างในความคิดที่เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย  แต่เหตุใดและทำไม  กลุ่มคนเหล่านี้จึงยังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด  และใช้ชีวิตราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในสังคม  ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในชีวิตประจำวัน  ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  หยุดนิ่งอยู่กับที่  และคงไว้ซึ่งความสวยงามในกรอบแบบแผนที่ควรจะเป็น  อันเป็นภาพที่สวยงามชวนให้ฝันคะนึงถึงวันวานในอดีต

กลุ่มคนที่เป็นสลิ่มกลายพันธุ์เหล่านี้  ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาดีจนถึงขั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง  มีสถานภาพทางสังคม  ยึดมั่นในศีลธรรมและจริยธรรมจรรยา  มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายในสังคมโรแมนติก และไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อาทิเช่น กลุ่มดาราและนักร้อง กลุ่มผู้มีชื่อเสียงในสังคม กลุ่มนักวิชาการ รวมทั้งหนุ่มสาวออฟฟิศรุ่นใหม่ในเจนเนอเรชั่น X Y Z เป็นต้น  ซึ่งที่ผ่านมา สลิ่ม เป็นผู้ที่รณรงค์อย่างแข็งขันและเป็นแนวหน้ากล้าตายในการออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลชุดที่แล้ว  โดยชูประเด็นเรื่อง การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม  ก่อนที่จะกลายมาเป็นการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง  มีความรังเกียจเดียดฉันท์รัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชั่น  รังเกียจรัฐบาลที่มอมเมาประชาชนรากหญ้าผ่านนโยบายประชานิยมที่ไม่เคยพอเพียง  จึงทำให้สลิ่มผู้มีจิตอาสาและรักความชอบธรรมอย่างแรงกล้าต้องออกมาแสดงพลังบางอย่าง  โดยต้องการสร้างประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แท้จริงเพื่อวางรากฐานสังคมในอนาคต  และเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและยุติธรรม  ไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง  แต่แท้ที่จริงแล้ว  พวกเขาเหล่านี้ต้องการยึดกุมสิทธิอำนาจการตัดสินใจและกำหนดทิศทางให้คงอยู่กับกลุ่มของตนต่อไป  โดยถือว่าเป็นความชอบธรรมทางประเพณีและทางประวัติศาสตร์ชาตินิยม  การออกมาชุมนุมในครั้งนั้นเปรียบได้เป็น Big Social Event ที่สำคัญ  ซึ่งใครก็ตามที่ต้องการสถาปนาตนเองให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชนชั้นนำ  หรือใครก็ตามที่ต้องการฟอกตัวเปลี่ยนสีเพื่อเลื่อนสถานะทางสังคมโดยอัตโนมัติ  การไม่เข้าร่วมอาจถูกตราหน้าว่าเป็นพวกสังคมล้าหลังตกขอบ  ดังนั้นจึงต้องออกมาแสดงพลังด้วยการชุมนุมเดินขบวน  แสดงตัวตนความเป็นชนชั้นนำที่ไม่ใช่ราษฎรเสียงข้างมาก  จึงทำให้ภาพการเป็นพลเมืองอภิสิทธิ์เสียงข้างน้อยมีความเด่นชัดมากขึ้น  และเพื่อสร้างบทบาทการชี้นำและลากจูงสังคมไปในทิศทางที่สวยงามตามกรอบที่คนรุ่นก่อนได้วางเอาไว้

ภาพมายาคติที่เต็มไปด้วยอคติและความลำเอียงที่ซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ  มองคนต่ำต้อยด้อยค่าอย่างเหยียดหยาม  ซึ่งถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานจนเกิดเป็นพันธนาการที่มองไม่เห็น  ถูกผูกมัดและฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณ  จึงก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า  คนทุกคนย่อมมีความไม่เท่าเทียมกันมาตั้งแต่กำเนิด  การศึกษาและสถานะทางสังคมย่อมบ่งบอกถึงระดับชนชั้นวรรณะ  รวมถึงกำหนดบทบาท  หน้าที่  และความรับผิดชอบอีกด้วย  ดังนั้นประเทศกรุงเทพฯ จึงเป็นเขตแดนหวงห้ามและเป็นสังคมเฉพาะกลุ่มที่ห้ามมิให้ตั้งคำถามหรือสงสัย  ห้ามโต้แย้ง  ห้ามแม้แต่จะคิด  ทำได้แค่เพียงยกย่องและเชิดชูเท่านั้น  เพราะฉะนั้นสิทธิในการเลือกตั้งจึงต้องแตกต่างกันไปด้วย  เปรียบได้ดังเหล่าคนดีเสียงข้างน้อยที่ไม่ยอมยึดโยงกับเสียงข้างมาก  เชื่อมั่นว่าจำนวนเสียง 3 แสนเสียงของคนในกรุงเทพฯ ย่อมมีค่าและมีความสำคัญ  รวมถึงมีคุณภาพมากกว่าจำนวนเสียงของชาวบ้านธรรมดา 15 ล้านเสียงในต่างจังหวัด  ซึ่งเป็นตรรกะที่สมเหตุสมผลและถูกต้อง  ตรงตามความหมายและนิยามของชนชั้นผู้ปกครอง  หรืออีกนัยหนึ่ง  พวกเขาต้องการบิดเบือนข้อมูล  ข้อเท็จจริง  เพื่อรองรับความเชื่อของตนเอง  แอบอิงและกล่าวอ้างความสัมพันธ์กับอำนาจที่ไม่เป็นทางการ  เพื่อทำการบั่นทอน  กำกับ  และควบคุมเสียงข้างมาก  โดยการช่วงชิงงบประมาณและปัจจัยทางเศรษฐกิจจากคนกลุ่มใหม่ให้กลับมาสู่คนกลุ่มเดิมที่ควบคุมอำนาจรัฐมาอย่างยาวนาน  รวมทั้งสร้างอุปสรรคปิดกั้นโอกาสในการเข้าถึงนโยบายสาธารณะของคนกลุ่มใหม่อีกด้วย  จึงทำให้ระบบรวมศูนย์อำนาจย้อนกลับมาอีกครั้ง  และที่สำคัญก็คือ  ต้องการจำกัดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยของเสียงข้างมาก  ถึงแม้ว่าจะเป็นการทวนกระแสการเปลี่ยนแปลง  แต่คนกลุ่มนั้นก็มีความเชื่อว่า นี่คือ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ประเทศอื่นไม่มีวันเข้าใจ  รวมทั้งไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้เช่นกัน

จากเรื่องราวที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ในเรื่องความไม่โปร่งใสในการทำงานของรัฐบาลที่ไม่สามารถตรวจสอบได้  การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมจนเกิดปรากฎการณ์สองมาตรฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หรือการสร้างความปรองดองแค่เปลือกนอก  แต่เหตุอันใดบรรดาสลิ่มกลุ่มเดิม  ด้วยตรรกะแบบเดิม  ด้วยผลลัพธ์แบบเดิม  ทำไมจึงยังซ่อนตัวนิ่งเฉย  ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับปัญหาที่เกิดขึ้น  รวมทั้งไม่ได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องขับไล่รัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา  และจากเหตุการณ์ที่สะสมและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ นี้ก็ได้ทำให้สลิ่มบางคนเกิดอาการฉุกคิด  ตื่นรู้และตาสว่าง  ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล  เพราะภายใต้ระบบการศึกษาที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก  ถูกกล่อมเกลาให้เชื่อฟังโดยไม่สงสัย  ส่งผลให้มีพฤติกรรมคอยรับฟังและเชื่อตามเท่านั้น  แต่สลิ่มบางคนก็ได้ตื่นขึ้นมามองโลกใบเก่าด้วยมุมมองใหม่ที่มองรอบด้านมากขึ้น  ยอมรับฟังข้อเท็จจริงมากขึ้น  เสมือนหนึ่งเป็นพระเอก นีโอ ในภาพยนตร์ The Matrix  แต่ก็ยังมีสลิ่มอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีอาการมืดบอดทางความคิดและสติปัญญา  หรืออาจกล่าวได้ว่า  ยอมถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนทางจิตใจด้วยความเต็มใจ  ถือเป็นพันธนาการร่วมของสังคมอย่างหนึ่ง  แต่ด้วยความไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนหรือแสดงความความรับผิดชอบต่อสาธารณะว่า  ได้เคยตัดสินใจผิดพลาดมาแล้วหนหนึ่ง  รวมทั้งไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะแสดงความรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น  จึงทำได้แค่เพียงถอยห่างออกมาอย่างเงียบๆ โดยเมินเฉยต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว  กลับมาใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลิน  หาความสำราญตามวิสัยของคนเมืองหลวงที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย  จากจิตสาธารณะที่มุ่งมั่นต้องการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติก็กลับกลายมาเป็นการปกป้องผลประโยชน์แห่งตน  จากปณิธานอันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมก็กลับกลายมาเป็นปัจเจกชนที่ไม่สนใจสังคมรอบข้าง  อยู่กับความสุขในอาณาเขตเฉพาะบุคคลโดยไม่ต้องสนใจคนอื่นอีกต่อไป 

ทำไมแค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เหตุใดบรรดาสลิ่มชนในยุคดิจิตอล 4G  จึงไร้จุดยืนและมีหลักการที่เลื่อนลอยเช่นนี้  พร้อมที่จะเปลี่ยนจุดยืนเพียงเพื่อหาข้ออ้างมารองรับความถูกต้องให้กับฝ่ายที่ตนเองสนับสนุนโดยหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้  ไม่มีแม้ความจริงใจที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับสังคม  รอจังหวะและรอคอยคำสั่งที่กำหนดโดยผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครองรุ่นอนาล็อก 2G  สลิ่มชนเหล่านี้จึงหลบซ่อนและแฝงตัวอย่างเงียบๆ เพื่อรอคอย Big Social Event ครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง  พวกเขาเหล่านี้ทำได้อย่างไรกัน  เปรียบเสมือนม้าแข่งที่ยอมถูกปิดตาเพื่อให้มองไปข้างหน้าอย่างเดียวตามที่ผู้เป็นนายคอยสั่งการ  รอรับเศษเสี้ยวแห่งบำเหน็จรางวัล  รอวันปลดระวางและตายจากไปอย่างไร้คุณค่า  โดยไม่ได้จารึกสิ่งดีงามไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้กล่าวถึง  ทำไมสลิ่มเหล่านี้ไม่หลงเหลือความละอายและเกรงกลัวต่อบาปในจิตใจบ้างหรืออย่างไร  ทำไมความผิดคนอื่นเท่าขุนเขา  แต่ความผิดตัวเราถึงได้บางเบาเท่าเส้นผม  ผลแห่งกฎหมายอาจมาช้าหรือไม่ยุติธรรม  แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือ กฎแห่งกรรมนั้น  ยุติธรรมเสมอ 

การเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นระบบ  ต้องเกิดจากเสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องร่วมด้วยช่วยกัน  ร่วมมือกันที่จะผลักดันสังคมไปในทิศทางที่ก้าวหน้า  หาใช่เกิดจากการชี้นำของกลุ่มผลประโยชน์อุปถัมภ์ซึ่งเป็นเพียงคนส่วนน้อยแต่อย่างใดไม่  สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ฉันทามติที่ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน  เพื่อให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดเป้าหมายทางสังคมด้วยกัน 

อดีตกำหนดปัจจุบัน  และปัจจุบันเป็นแนวทางกำหนดอนาคต  การก้าวเดินไปข้างหน้านั้นต้องก้าวให้ทันตามกระแสโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสมัยใหม่  จึงทำให้ข้อได้เปรียบในอดีตไม่มีความหมายอีกต่อไป  และทำให้ปัจจุบันกลายเป็นอดีตได้เร็วขึ้น  ประเทศใกล้เคียงต่างก็ก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นและรวดเร็ว  ดังนั้นการก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆ แบบไทยๆ โดยไม่สนใจใคร  ก็เท่ากับว่า  ประเทศไทยกำลังเดินถอยหลังลงคลองโดยเปรียบเทียบ  ถอยหลังกลับไปหาวันวานในอดีต  หลบซ่อนตัวเป็นกบอยู่ในกะลาหรือขอบเขตที่ตนเองพึงพอใจเท่านั้น  ซึ่งชนชั้นนำไทยมักดูแคลนประเทศใกล้เคียงว่าล้าหลังและด้อยพัฒนา  แต่หารู้ไม่ว่าจากวิกฤติเศรษฐกิจ  สังคม  และการเมืองที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นชัดว่า  ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยได้ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ  แต่การกระจายความมั่งคั่งส่วนใหญ่กลับตกอยู่กับกลุ่มคนอย่างสลิ่มที่ไม่เคยเข้าใจปัญหา  และไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะจัดการปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น  เพราะสภาพแวดล้อมของปัญหาได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ดังนั้นคำตอบของปัญหาจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทำให้ประเทศไทยสูญเสียจุดแข็งที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง  และจุดแข็งที่เคยมีก็กลายเป็นจุดอ่อนในเวทีโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน  ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว  สลิ่มชนจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ และอาจถูกกระแสน้ำแห่งการแปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและเชี่ยวกราดพัดพาหายไปจากสถานภาพเดิมก็เป็นได้


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net