Skip to main content
sharethis

สรรเสริญ บอกรัฐบาลระอาใจ 'ยิ่งลักษณ์' เตะถ่วงเวลาขอเพิ่มพยานคดีจำนำข้าว ด้านทนายยิ่งลักษณ์ โต้ 5 ประเด็น รบ.ไม่เข้าใจการอำนวยความยุติธรรม ยันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รธน.ทุกฉบับ แม้แต่ฉบับชั่วคราว ก็ได้รับรอง-คุ้มครองไว้

จากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมเป็นรอบที่สี่ จำนวน 18 ปาก สำหรับคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนการดำเนินการของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลัง นั้น

วานนี้ (31 ธ.ค.38) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจกับพฤติกรรมเตะถ่วงเวลาการพิจารณาคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะที่ผ่านมาเมื่อการสอบปากคำพยานใกล้จบ ก็จะขอเพิ่มบัญชีพยานมาถึงสามครั้ง รวมหลายสิบปาก และหลายปากไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กว่าจะประสานติดตามมาให้ข้อมูลได้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น

“รัฐบาลได้อนุมัติขยายเวลาพิจารณาไปสามรอบแล้ว และสิ้นสุดไปเมื่อวานนี้(30 ธ.ค.)  ซึ่งถือว่าให้โอกาสอย่างมากที่สุดแล้ว ดังนั้น การขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเป็นรอบที่สี่ อีก 18 ปากและบางท่านแทบจะมองไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร เช่น อดีตปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด จึงมองเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากมีเจตนาให้การพิจารณาคดียื้อเยื้อ และไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าพฤติกรรมเพิ่มจำนวนพยานจะสิ้นสุดลงเมื่อไร” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลยึดมั่นในหลักการของกระบวนการยุติธรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้ชี้แจงแก้ต่างอย่างเต็มที่ และไม่เคยขัดข้องหากการเพิ่มจำนวนพยานจะช่วยให้มีข้อมูลที่มีนัยสำคัญ หรือข้อมูลใหม่ต่อการพิจารณาคดี แต่หากเป็นความจงใจกระทำเพียงเพื่อซื้อเวลาและทำให้คดียื้อเยื้อก็เป็นสิ่งที่ไม่บังควร เพราะประชาชนรอฟังคำตอบของคดีนี้มายาวนาน และทุกคดีมีอายุความที่ต้องดำเนินการ หากไม่ตั้งอยู่บนเงื่อนเวลาของกฎหมาย รัฐและประเทศชาติก็จะเสียหาย คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ จะเป็นผู้พิจารณาในเบื้องต้นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ดำเนินการติดตามตรวจสอบมาแล้วมีความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด มีความสมเหตุสมผลหรือเห็นควรอนุญาตให้เพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ แล้วจะเสนอความเห็นมายังรัฐบาลอีกครั้งว่าเห็นควรรับคำร้องขอเพิ่มบัญชีพยานหรือไม่ เพราะเหตุใด

ทนายยิ่งลักษณ์ โต้ 5 ประเด็น รบ.ไม่เข้าใจการอำนวยความยุติธรรม

วันเดียวกัน นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แสดงความเห็นกรณีที่ พล.ต.สรรเสริญ ออกมาเปิดเผย ว่า รัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจดังกล่าวว่า การที่โฆษกรัฐบาลออกมาให้ข่าวเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของ รัฐบาล และการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล “ในการอำนวยความยุติธรรม” ความจริงผลงานรัฐบาลก็แถลงไปแล้วจึงไม่มีอะไรที่ต้องรีบเร่งอีก ในการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญยังไม่เข้าใจหลายเรื่อง เช่น 1.การอำนวยความยุติธรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับ แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ก็ได้รับรอง และคุ้มครองไว้

2.เรื่องดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เคยเรียกร้องต่อรัฐบาลแล้ว หากเกิดความเสียหาย ก็ให้ไปดำเนินการฟ้องร้องที่ศาล ซึ่งถือว่าเป็นคนกลางให้เป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียมาดำเนินการสอบสวนและตัดสินเอง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐบาลเลือกที่จะสอบสวนและตัดสินเอง รัฐบาลก็ไม่ควรมาพูด ว่า “ระอาใจ” ในการอำนวยความยุติธรรม 

3. พยานที่เพิ่มจำนวน 18 ปากล้วนแต่เป็นพยานที่ศาลท่านได้รับไว้เป็นพยานเกือบทั้งสิ้น การที่โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า “พยานบางท่านมองแทบไม่ออกว่าเกี่ยวข้องอย่างไร..” นั้น จึงเป็นการ “มโน” เองทั้งสิ้น อันเป็นการขัดต่อหลักการรับฟังข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง 4. การที่โฆษกรัฐบาลออกมากล่าว เช่นนี้ อาจจะถูกมมองว่า รัฐบาลกำลังเร่งรีบไปหรือไม่ ทั้งที่มีพยานอีกหลายปากที่เกี่ยวข้อง และเกี่ยวเนื่องกับโครงการับจำนำข้าว ก็ยังไม่ได้สอบสวน  5. รัฐบาลจะเร่งรีบจะปิดสำนวนการสอบสวนไปหรือไม่ ทั้งที่คดีหมดอายุความในเดือนกุมภาพันธ์ 2560แต่หากการเร่งรีบปิดสำนวน เป็นเพียงเพราะต้องการสำนวนคดีแพ่งไปประกอบการเบิกความเป็นพยานของประธานการสอบสวนฯ ที่จะไปเบิกความในคดีอาญาในวันที่ 25มกราคม2559 นี้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังละเลยการอำนวยความยุติธรรมหรือไม่ 

นายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนด้วยดีมาตลอด และพยานที่อ้างเป็นพยานทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสิ้น

ที่มา : สำนักข่าวไทย และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net