"เงิน" คำสั้นๆ ที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี เราใช้มันก่อนที่จะรู้จักหน้าที่ของมันเสียอีก หน้าที่ของมันก็มีทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เอาไว้ซื้อสินค้าและจ่ายค่าบริการ เป็นเครื่องรักษามูลค่า รวมถึงเป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ ตั้งแต่อดีต พัฒนาการของเงินมีตั้งแต่เงินเฟ เงินขนนก เงินเข็มขัด รวมถึงเงินหอยเบี้ยและเงินอีกหลายๆ ประเภทที่แต่ละสังคม/ประเทศคิดค้นขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการแลกเปลี่ยน แต่วันนี้ รูปแบบของการชำระเงินกำลังเปลี่ยนไป
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังพลิกหน้าประวัติศาสตร์การชำระเงินของโลกอย่างก้าวกระโดด จากเมื่อก่อนที่เราจะต้องพกเงินไปไหนมาไหน แม้จะไม่ได้ซื้ออะไรแต่ก็ต้องมีติดตัว ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ใครจะคาดคิดว่าขณะนี้ ไทยกำลังมีแนวคิดที่จะใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic payment) โดยล่าสุด มีการเปิดเผย1จากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ "แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้การใช้เงินสดในประเทศลดน้อยลงและมุ่งพัฒนาระบบ E-payment ให้ครอบคลุมการดำเนินชีวิตอย่างครบวงจร โดยกำหนดช่วงเวลาดำเนินการคือตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 มีผู้รับผิดชอบโครงการเบื้องต้น (โครงการ Any ID) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการผูกโยงระบบการชำระเงินเข้ากับเลขบัตรประชาชนของทุกคน โดยมีการระบุ2ว่าโครงการจะช่วยสนับสนุนการจัดทำฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อย ภาครัฐสามารถรู้กลุ่มเป้าหมาย (Eligible group) ที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ ลดปัญหาทุจริต และเป็นประโยชน์ทางด้านการจัดเก็บภาษี ขณะที่ภาคประชาชนจะได้รับสวัสดิการและการช่วยเหลือที่รวดเร็วและถูกต้องตรงกลุ่มมากขึ้น โดยสรุป นโยบายตอนนี้ที่เห็นชัดก็คือการพยายามลดการใช้เงินสด หันมาใช้บัตรในการซื้อสินค้าและบริการแทน (มีการคาดการณ์ตัวเลขเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 ล้านบาท)
เมื่อออกไปส่องระบบเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ใช้ระบบ E-Payment กันบ้าง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นประเทศสวีเดน ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ได้รับการขนานนามว่า "The most cash-free society on the planet"3 ว่ากันว่า แม้กระทั่งคนขายหนังสือพิมพ์/นิตยสารริมฟุตบาทยังถามหาบัตรแทนที่จะเป็นเศษสตางค์จากลูกค้า และแม้จะมีประเด็นอยู่บ้างในแง่ที่ว่าของการไว้เนื้อเชื่อใจที่จะให้ข้อมูลแก่คนขายนิตยสารที่อาจเป็นคนไร้บ้าน (Homeless people) แต่ชาวสวีเดนเชื่อมั่นในกันและกัน และการเป็นสังคมไร้เงินสดขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ย้อนกลับมาดูที่การเคลื่อนไหวของการเปลี่ยนแปลงระบบการชำระเงินนี้ มาจากการที่ลูกชายของ Bjorn Ulvaeus (นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และสมาชิกวง ABBA ของสวีเดน) ถูกโจรปล้นเมื่อหลายปีก่อน และทำให้ Ulvaeus กลายมาเป็นผู้สนับสนุนของการใช้ระบบ E-Payment ในสวีเดน โดยกล่าวว่าเงินสดคือสาเหตุหลักของอาชญากรรมและการซื้อขายในตลาดมืดมักมีการใช้เงินสดด้วยกันทั้งสิ้น หากมีการเลิกใช้เงินสดก็จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ ในฝากนักวิชาการ รองศาสตราจารย์ Niklas Arvidsson ประจำภาควิชา Industrial Dynamics แห่ง Sweden's Royal Institute of Technology ระบุว่ากว่า 4 ใน 5 ของการจับจ่ายใช้สอยในสวีเดนเป็นการชำระเงินผ่านบัตรและกำลังจะกลายเป็น 100% ในอนาคต และได้เพิ่มเติมข้อมูลว่าธนาคารและห้างร้านต่างๆ ได้ลงทุนอย่างหนักในระบบการชำระเงินผ่านบัตรตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งทำให้ประชาชนค่อนข้างคุ้นเคยกับระบบดังกล่าวเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าระบบดังกล่าวจะไม่มีปัญหาเลยในสวีเดน แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ถูกมุ่งเป้าว่าจะปฏิบัติตามนโยบายนี้ได้ยากที่สุดคือกลุ่มคนผู้สูงอายุหรือวัยเกษียณ จากการเปิดเผยโดย Johanna Hallen แห่ง Swedish National Pensioners' Organization พบว่ามีสมาชิกของผู้เกษียณเพียง 50% ที่ใช้บัตรเงินสด ขณะที่มีกว่า 7% (ประมาณ 400,000 คน) ที่ไม่เคยใช้บัตรดังกล่าวเลย ซึ่งได้มากเรียกร้องให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนระบบการชำระเงินนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนั้น ยังมีการสำรวจจาก Riksbank ในธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100 Krona (ประมาณ 430 บาท) พบว่ากว่า 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคงชอบที่จะใช้เงินสดในการชำระมากกว่า สำหรับปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาการหลอกหลวง (เครื่องรับบัตร) การจัดทำบัญชีส่วนบุคคล และการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นต้น5 ทั้งนี้ นอกจากสวีเดนแล้ว ก็ยังมีเดนมาร์กและนอร์เวย์ที่มีเป้าหมายในการเป็น Cash-free society ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมปลอดเงินสดคือ Scandinavian Model ในยุค Post 2015!
ทั้งนี้ การเป็นสังคมไร้เงินสดถูกสนับสนุนโดยหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาติที่มีชื่อว่า UN Better Than Cash Alliance4 ซึ่งริเริ่มโครงการในปี 2012 และจะสิ้นสุดในปี 2017 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนรัฐบาล หน่วยงาน และภาคเอกชนในการใช้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบัน รัฐบาลของอัฟกานิสถาน โคลัมเบีย เคนย่า มาลาวี เปรู และฟิลิปปินส์ได้เป็นสมาชิกของโครงการนี้อยู่ และโครงการยังได้จับมือกับ Bill & Melinda Gates Foundation, Citi, Ford Foundation, MasterCard, Omidyar Network, USAID, UNCDF รวมถึง Visa INC. ในการช่วยพัฒนาโครงการให้ขยายไปยังอีกหลายประเทศ
ผู้เขียนมีความคิดเห็นดังนี้
1. เห็นด้วย
- รัฐสามารถจัดทำระบบฐานข้อมูลรายได้และค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น (Information system) ซึ่งทำให้สามารถวิเคราะห์และจัดการกับเรื่องของภาษีได้ดียิ่งขึ้น การหลบเลี่ยงหลีกหนีภาษีจะทำได้ยากขึ้น
- อัตราการปล้น อาชญากรรมจะลดน้อยลง ภาระของตำรวจน้อยลง ไม่ต้องเสียต้นทุนในการบริหารจัดการ
- การจับจ่ายใช้สอยเป็นไปด้วยความคล่องตัว ประหยัดเวลา ผู้บริโภคสามารถตรวจเช็คการใช้จ่ายของตนเองได้อย่างแม่นยำ ขณะที่ผู้ขายสามารถลงรายการรายรับ-กำไรได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้การทำธุรกิจมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- เมื่อรัฐทราบข้อมูลด้านรายรับ-ค่าใช้จ่ายของประชาชน การให้ความช่วยเหลือสามารถทำได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น งบประมาณถูกใช้ประโยชน์ในทางที่เหมาะสมขึ้น
- เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการถือเงินและเคลื่อนย้ายเงิน (ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับการดูแลรักษาโดยธนาคาร) การเลิกใช้เงินสดจะทำให้ภาระของธนาคารลดลง
2. ไม่เห็นด้วย
- เป็นเรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภค การใช้จ่ายผ่านบัตรเงินสดทำให้ธุรกรรมทำได้ง่ายดายขึ้น การไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอาจน้อยกว่าการใช้เงินสด เพราะไม่มีการนับ ไม่มีวินาทีเฉลียวใจ (บางครั้ง เราเกิดความรู้สึกลังเลเวลานับเงินมากๆ ตอนชำระสินค้า/บริการบางอย่าง) ความง่ายตรงนี้ อาจทำให้การใช้จ่ายผ่านบัตรเงินสดทำลายพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ดี มีปัญหาเรื่องการออม สอดคล้องกับสถิติที่เผยโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่าหนี้เสียบัตรเครดิตพุ่ง 22%6 ในปี 2558 ซึ่งทำให้เกิดเป็นข้อวิตกว่าเมื่อมีการสนับสนุนให้ใช้บัตรเงินสดในกลุ่มคนทุกประเภทแล้วนั้น พฤติกรรมใช้จ่ายจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- มีต้นทุนในการเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูง (มีการประเมินว่า 3,000 ล้านบาท) ซึ่ง 3,000 ล้านบาทนี้เป็นการนับรวมแค่การทำบัตรในครั้งแรก อย่าลืมว่าเมื่อใช้เป็นบัตรแล้ว ย่อมต้องมีบัตรหาย การทำซ้ำต้องใช้บัตรใหม่ ภาครัฐต้องมีการสำรองบัตรเพื่อความสะดวก รวมถึงต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการจ้างพนักงาน รวมถึงเทรนนิ่งพนักงานในการทำบัตร และสิ่งที่น่ากังวลกว่าการทำบัตร คือเครื่องรับบัตร แน่นอนว่าเครื่องรับบัตร (คล้ายๆ เครื่องรับบัตรเครดิต) ย่อมมีราคาที่แพงและจำเป็นที่จะต้องเหมือนกันหรือเป็นยี่ห้อเดียวกันทั่วประเทศในทุกร้านค้า รวมไปถึงค่าซ่อมเครื่องดังกล่าว ซึ่งไม่แน่ใจว่า 3,000 ล้านบาทที่มีการประเมินนั้นได้รวมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้วหรือยัง
- ความเสี่ยงจากการสูญหายของบัตร เนื่องจากบัตรเงินสดมีข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างเสมือนบัตรประชาชนอีกใบ (หรือในอนาคตจะเป็นบัตรใบเดียวกัน) บัตรจะต้องมีความปลอดภัยในระดับสูง ป้องกันการใช้บัตรจากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัตร หากบัตรมีความปลอดภัยต่ำ ข้อมูลส่วนตัวในบัตรอาจรั่วไหลและถูกใช้ในทางที่ไม่สมควร
3. ประเด็นอื่นๆ
- สังคมไทยยังมีประเด็นของความเหลื่อมล้ำทางรายได้อยู่มาก กลุ่มคนที่จนที่สุดหรือชนชั้นรากหญ้า หรือแม้กระทั่งเกษตรกร ชาวไร่ชาวสวน พ่อค้าแม่ค้า หรือพนักงานก่อสร้าง-รับจ้างทั่วไป ยังคงมีอยู่อย่างเด่นชัดในสังคมไทย ซึ่งแตกต่างจากสวีเดนที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นประเทศรายได้สูง รายได้ต่อหัวสูงกว่าไทยประมาณ 10 เท่า7 ประกอบกับการที่ภาคธนาคารมีการลงทุนในประเด็นดังกล่าวตั้งแต่ปี 1990 และประเทศมีความพร้อมในเรื่องของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีในระดับต้นๆ ของโลก8 ซึ่งทำให้ E-payment เป็นเรื่องง่าย
- การใช้บัตรเงินสดหรือชำระผ่านอิเล็กทรอนิกส์จึงเหมาะกับคนในเมืองมากกว่าสังคมชนบท ที่มีเครื่องมือไม่พร้อม ทรัพยากรหรือคนที่ใช้ไม่พร้อม
- ควรกำหนดพื้นที่นำร่องในการใช้ โดยเลือกเป็นระดับอำเภอหรือจังหวัดที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี ประชาชนสามารถเข้าถึงธนาคารได้อย่างหลากหลาย รวมถึงระดับรายได้ของคนในท้องถิ่นค่อนข้างสูง เพื่อศึกษาข้อดี ข้อเสีย จากการใช้งานจริง ก่อนที่จะบังคับปรับใช้กันทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น
- มีข้อกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน การถือเงินบางครั้งเป็นสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้น ไม่ควรมีการบังคับให้เลิกใช้เงินสด
- ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ปีๆ หนึ่งรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 30 ล้านคน มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก ซึ่งเป็นเรื่องชวนคิดว่า ภาครัฐจะมีวิธีการรับมือกับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังไทยอย่างไร เมื่อเรากลายเป็นสังคมปลอดเงิน (บาท) แล้ว นักท่องเที่ยวจำเป็นที่จะต้องทำบัตรใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้สอยภายในประเทศหรือไม่
- ราคาสินค้าและบริการบางประเภทอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น การเก็บข้อมูลการใช้จ่ายของประชาชนทั้งประเทศทำให้เห็นภาพรวมว่าสินค้า/บริการหนึ่งๆ มีราคาแตกต่างกันอย่างไร กระทรวงพาณิชย์สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวในการควบคุมราคาสินค้า/บริการในบางพื้นที่ที่สูง/ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้ ผู้บริโภคจะได้รับการปกป้องมากยิ่งขึ้น
ในภาพรวมแล้ว การเป็นสังคมปลอดเงินสดหรือ Cash-free economy ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดต้นทุนในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงเป็นประโยชน์ในแง่ของข้อมูล การจัดเก็บภาษี และการให้สวัสดิการโดยรัฐ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเราไม่สามารถใช้ Swedish Model มาแบบเต็มรูปแบบ เนื่องจากประชากรสวีเดนมีเพียง 10 ล้านคน มีขนาดพื้นที่น้อยกว่าไทย โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีโครงสร้างแตกต่างจากไทยอย่างชัดเจน ความพร้อมในแง่เทคโนโลยีของสวีเดนอยู่ใน Top 5 ของโลก ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับ 67 ทำให้เห็นว่าความพร้อมของสวีเดนมีมากกว่า และลักษณะสังคมมีความเป็น Cash-free society โดยธรรมชาติ กล่าวคือ ประชาชนไม่นิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีการสนับสนุนจากภาครัฐ พฤติกรรมของประชาชนในแง่ผู้ผลิตและผู้บริโภคจึงไม่ได้ฝืนความเป็นจริงมากนัก ขณะที่เมื่อมองมาดูสังคมไทย จะเห็นภาพที่ขัดแย้งกัน เราพยายามตีกรอบใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยและหาทางเดินเข้าไป โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเจออุปสรรคอะไรบ้าง...แต่ ครม. เห็นชอบเรียบร้อยแล้ว
ที่มา
(1) รัฐดันคนไทยเลิกใช้เงินสด ที่มา: เดลินิวส์ วันที่ 22 ธันวาคม 2558
(4) UN Better Than Cash Alliance
(6) หนี้เสียบัตรเครดิต เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 22%
(7) World Bank. (2015). GDP Per capita. Retrieved December 24, 2015
(8) ดัชนี Networked Readiness Index โดย World Economic Forum ปี 2015
เกี่ยวกับผู้เขียน: วรรณพงษ์ ดุรงคเวโรจน์ เป็น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง