ศาลปกครองยกฟ้อง คดีเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงฟ้อง กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จากเขื่อนไซยะบุรีผิดกระบวนการ ศาลชี้ กฟผ..ทำถูกขั้นตอนแล้ว ด้านชาวบ้านยันเตรียมยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อ
25 ธ.ค. 2558 ที่ศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ ห้องพิจารณาคดีที่ 1 ได้มีการอ่านคำพิพากษา คดีพิพาทเกี่ยวกับเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ ในกรณีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) กับเชื่อนไซยะบุรีในประเทศลาว โดยศาลพิพากษายกฟ้อง
ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความฝ่ายโจทก์ (เครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง) เผยว่า ศาลชี้ว่ากรณีที่ชาวบ้านฟ้องว่า กฟผ. เนื่องจากไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของตามมติของคณะกรรมการพลังงาน สืบพบว่าได้มีการทำตามมติแล้ว ซึ่งเงื่อนไขประกอบด้วย การทำตามกระบวนการ PNPCA โดยจะต้องให้สำนักงานอัยการตรวจสัญญาการซื้อขายก่อน ต้องมีการประชุม และจะต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาวให้ประชาชนได้รับทราบ
ในส่วนของตัวสัญญา ศาลชี้ว่าได้มีการทำตามกระบวนการแล้ว มีการจัดประชุมทั้งหมด 4 ครั้งก่อนจะมีการลงนามในสัญญา โดยมีประชาชนเข้าร่วมในแต่ละครั้ง 80-120 คน ถัดมาในส่วนของการเผยแพร่ข่าวสาร ศาลเห็นว่าได้มีนำข้อมูลข่าวสารไปลงในเว็บกระทรวงพลังงาน แล้วเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ฉะนั้นถือว่าเพียงพอแล้ว
ทนายความกล่าวต่อว่า ในส่วนของการตรวจสัญญาโดยอัยการไม่ได้มีข้อโต้แย้ง แต่ในขั้นตอนของการเผยแพร่นั้นยังมีปัญหาเพราะไม่มีการแจ้งให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบรับรู้ข้อมูลโดยตรง ส่วนให้การทำกระบวนการ PNPCA เองก็มีปัญหาคือ มีการสร้างเขื่อนไปพร้อมกับการทำกระบวนการPNPCA ซึ่งตามหลักการแล้ว ต้องทำกระบวนการให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะสร้างเขื่อน ในส่วนของการจัดประชุมให้ข้อมูลและรับฟังคสามเห็นจากชาวบ้านนั้น ชาวบ้านไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าจะมีการประชุม ในส่วนที่รับรู้และไปเข้าร่วมการประชุมเพื่อชี้แจ้งว่าจะเกิดผลกระทบอะไรต่อชาวบ้าน ก็ไม่มีการนำข้อมูลในส่วนนี้ไปใช้ แต่ถึงที่สุดศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าถูกขั้นตอนมีการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหายระบุ (อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มด้านล่าง)
คำปิ่น อักษร ผู้ประสานงานกลุ่มคนฮักน้ำของ
ด้าน คำปิ่น อักษร ผู้ประสานงานกลุ่มคนฮักน้ำของ จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ชาวบ้านหลายคนมาด้วยความหวัง และอยากมารับฟังความเห็นของศาล ว่าจะมีข้อความใดที่แสดงความเห็นใจต่อภาคประชาชนหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจ
“เราก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน เรามากว่า 800 กิโล(เมตร) วันนี้ก็พาเด็กๆ มาฟังอนาคตของพวกเขาด้วย แต่ดูเหมือนอนาคตพวกเขาน้อยลงทุกที เพราะเด็กพวกนี้ที่บ้านเขาหาปลาส่งพวกเขาเรียน ทีนี้ถ้าทรัพยากรมันถูกทำลายไป อนาคตเขาก็ไม่รู้จะไปทางไหน จะเป็นแรงงานก็ไม่ใช่วิถีของเขา เขาควรจะได้สืบทอดวิถีชีวิต ต่อยอดในการใช้ทรัพยากรของแม่น้ำโขง” คำปิ่น กล่าว
มนตรี จันทรวงศ์ มูลนิธิฟื้นฟูวิถีชีวิตและธรรมซาติ
ด้าน มนตรี จันทรวงศ์ มูลนิธิฟื้นฟูวิถีชีวิตและธรรมซาติ กล่าวว่า หลังจากที่ได้ฟังคำตัดสิน และพุดคุยกับเครือข่ายประชาน และทนายความ คิดว่าจะต้องมีการอ่านคำพิพากษากันอย่างละเอียดอีกครั้ง และหากมีประเด็นไหนที่ไม่เห็นด้วยก็จะมีการยื่นอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน
เขากล่าวต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากโครงการข้ามพรมแดน หากโครงการสร้างเขื่อนไซยะบุรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไทย หรือการซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไม่ได้เกี่ยวข้องกับไทย ก็จะเป็นเรื่องที่ยากที่จะป้องกันผลกระทบต่อชาวบ้านในลุ่มน้ำโขง แต่โครงการนี้เกี่ยวข้องกับไทย ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และการลงทุนมาจากประเทศไทยทั้งหมด ฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในพื้นที่สีเทา เรื่องที่กฎหมายจะครอบคลุมไปถึงหรือไม่อาจจะขึ้นอยู่กับการตีความ หากจะผลักดันประเด็นเรื่องนี้ต่อไปก็จะต้องหาของเท็จจริงขึ้นมาต่อสู้กัน เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า เรายังสามารถใช้ข้อกฎหมายตีความไปถึงโครงการข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ต่อคำถามว่า คิดเห็นอย่างไรที่รัฐมักย้ำเสมอว่า กำลังไฟฟ้าสำรองในประเทศไทยอาจจะไม่เพียงพอ ต้องมีการเตรียมกำลังสำรองไว้เพื่ออนาคต การสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศเองก็ถูกต่อต้าน เมื่อทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านก็ยังถูกต่อต้านอีก เขาเห็นว่า การพูดว่ากำลังไฟฟ้าสำรองไม่พอ เป็นการสร้างมายาคติ เพื่อให้ความชอบธรรมต่อการสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยไม่ได้กังวัลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน และวิถีชีวิตของชาวบ้าน
เขากล่าวต่อไปว่า วาทกรรมเหล่านี้เมื่อพูดซ้ำๆ หลายครั้ง สังคมกลับเชื่อว่าสิ่งที่รัฐพูดเป็นข้อเท็จจริง และบางครั้งคนในสังคมลืมตั้งคำถามกลับไปว่ามันจริงหรือไม่
เข้ม(ซ้าย)-จ๊ะ(ขวา) สองหนุ่มน้อยจากอุบลราชธานี เดินทางมาร่วมฟังคำตัดสิน
สรุปความเป็นมาของคดี ปี 2554 ปี 2555 1. ให้มีคำพิพากษาว่า โครงการสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นโครงการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้มีคำสั่งให้ยกเลิกโครงการดังกล่าวเสีย 2. ให้มีคำพิพากษา ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งห้าปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน ก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนไซยะบุรี 3. ให้มีคำพิพากษาว่า ให้ยกเลิกมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ ในการอนุมัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ดำเนินโครงการสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี ปี 2556 ปี 2557 ศาลเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 ได้ยื่นฟ้องเป็น 3 ข้อหา จึงพิจารณารายข้อหา ดังนี้ ข้อหาที่หนี่ง มติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ที่เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ที่อนุญาตให้ กฟผ. ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ของประเทศลาว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การมีมติให้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เป็นเพียงขั้นตอนการดำเนินการภายในของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อนำไปสู่การทำสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด จึงยังไม่มีผลทางกฎหมายออกสู่ภายนอกไปกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ ของผู้ฟ้องทั้ง 37 คน ดังนั้น ผู้ฟ้องทั้ง 37 คนจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสีย หายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ศาลไม่รับข้อหานี้ไว้พิจารณา ข้อหาที่สอง สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ บริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาล พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน มีความประสงค์อันแท้จริง คือ ต้องการให้ศาลปกครองมีคำบังคับให้เพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง กฟผ. กับบริษัทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด แต่ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีไม่ปรากฏว่า ผู้ฟ้องทั้ง 37 คนเป็นคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครอง จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จะมีสิทธิฟ้องคดีขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวได้ ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีข้อหาที่สองต่อศาลปกครองได้ ตามมาตรา 42 วรรค 1 แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แม้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน อุทธรณ์ว่า สัญญาซื้อไฟฟ้าก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ในฐานะที่เป็นผู้เสียภาษี และผู้รับประโยชน์จากสัญญา แต่ศาลเห็นว่า การเสียภาษีอากรถือว่าเป็นหน้าที่ที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน จะต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ศาลไม่รับข้อหานี้ไว้พิจารณา ข้อหาที่สาม ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม ทั้งในฝ่ายไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน ก่อนที่จะดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการจัดซื้อไฟฟ้าโครงการเขื่อนไซยะบุรี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องทั้ง 37 คน เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบโดยตรงและมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่ว ไปที่ไม่ได้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการงดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อน หรือเสียหาย ที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ได้รับจำต้องมีคำบังคับโดยสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคมตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ตามมาตรา 72 วรรค 1(2) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โครงการเขื่อนไซยะบุรีสร้างในแม่น้ำนานาชาติ ต้องปฎิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น PNPCA เนื่องจากเป็นกติกาที่ใช้ในการจัดการแม่น้ำนานาชาติร่วมกัน โครงการไซยะบุรีเป็นโครงการที่กั้นแม่น้ำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียตนาม ซึ่งเป็นผลกระทบข้ามพรมแดน จึงทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องโดยใช้สิทธิชุมชนในการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิ เพื่อคุ้มครองไม่ให้ตนได้รับผลกระทบ จึงใช้สิทธิในการฟ้องได้ ศาลจึง มีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 37 คน เฉพาะข้อหาที่ 3 ในส่วนที่ฟ้อง ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง การประเมินผลกระทบ ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ปี 2558 ในถึงที่สุดในวันที่ 25 ธ.ค. 2558 เมื่อศาลอ่านคำพิพากษา ยกฟ้อง |
คำพิพากษาฉบับเต็ม