Skip to main content
sharethis
ก.แรงงานตั้ง กก.สอบโชว์หวิว งานเลี้ยง สปส.
 
ปลัดกระทรวงแรงงาน นายนคร ศิลปอาชา บอกถึงกรณีที่มีภาพนักร้องใส่ชุดบิกินีสีดำร้องเพลงบนเวทีงานกีฬาสานสัมพันธ์ของสำนักงานประกันสังคม เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาและมีการแชร์ภาพไปในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานทราบเรื่องแล้ว และสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปผลใน 5 วัน ซึ่งโทษอาจไม่ถึงขั้นให้ออกจากราชการ แต่จะต้องเอาผิดให้เป็นตัวอย่างเช่นการ ตัดเงินเดือนไปจนถึงการลดขั้นนอกจากนี้กำชับทั้ง 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานไม่ให้มีการจัดงานรื่นเริงในลักษณะที่ล่อแหลมจนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์กระทรวงแรงงานเช่นนีอีก
 
 
ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายเล็กทรุดหนัก ยอดขายหด 50% แตกไลน์โรงงานผลิต "เครื่องมือแพทย์-อากาศยาน" หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 
 
นายชนาธิป สุรชัยสิทธิกุล นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กว่า 40 บริษัท จากสมาชิกทั้งหมด 400 บริษัท กำลังประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ยอดขายลดลงกว่า 50% บวกกับนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน ส่งผลกระทบในเชิงลบ ทำให้มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ประกอบการไทย ดังนั้น SMEs ไทยจำเป็นต้องปรับตัวสู้กับวิกฤตครั้งนี้ โดยแตกไลน์ไปผลิตชิ้นส่วนพวกอากาศยาน และชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ แทนชิ้นส่วนยานยนต์
 
"ยอดขายชิ้นส่วนยานยนต์ได้รับผลกระทบต่อเนื่องลดลงมาเรื่อย ๆ ตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่น และกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย สนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของญี่ปุ่น ย้ายฐานการผลิตเข้ามา ทำให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนของไทยต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อย่างการหันมามุ่งผลิตชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก ไม่ใช่ตลาดเล็ก ๆ และถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ เป็นปัจจัย 4 ที่คนจำเป็นต้องพึ่งพา"
 
นายชนาธิปกล่าวต่อไปว่า การผลิตอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ยังมีอุปสรรคในการขยายตลาด เนื่องจากไทยยังไม่มีห้องทดสอบ ทำให้ต้องส่งออกไปที่สิงคโปร์ ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องส่งเสริมให้ชัดเจน เพราะการที่ SMEs พยายามดิ้นหาทางรอดนี้ไม่สามารถเดินหน้าได้เอง จำเป็นต้องให้ภาครัฐช่วยอย่างการสร้างแบรนด์ไทยเป็นของตนเอง ที่ผ่านมาไทยสามารถเป็นผู้นำตลาดโลกได้ในอุตสาหกรรมอาหารมีแบรนด์ของตนเอง รัฐควรสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และชิ้นส่วนยานยนต์ให้เป็นที่ยอมรับแบบเดียวกันเป็นทางออกที่ดี
 
นอกจากการหาตลาดใหม่ SMEs ยังต้องพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้นอีก ต้องหลีกหนีการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต (OEM) ให้เป็นหรือการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ โดยผู้ผลิตไทยต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์จากความคิดของตนเอง 
 
"ต่อไปต้องนำคนที่มีความคิด และคนที่ผลิตมารวมกัน แล้วผลิตด้วยแบรนด์คนไทยส่งขายเอง เราไม่สามารถจะรับจ้างผลิตแบบนี้ต่อไปได้ เพราะคู่แข่งอย่างญี่ปุ่นเริ่มเข้ามา ข้อดี คือ นักลงทุนญี่ปุ่นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้เราเรียนรู้เทคโนโลยีและนำไปพัฒนาต่อยอดได้ เราจำเป็นต้องสู้กับเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชา เวียดนาม ญี่ปุ่น อินเดีย"
 
นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทยรับงานผลิตพวกโครงการรถไฟฟ้าด้วยเพราะศักยภาพของคนไทยสามารถผลิตได้ทุกส่วนประกอบ ที่ผลิตไม่ได้เพียงตัวเครื่องยนต์เท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลไทยสามารถกำหนดการจัดซื้อจัดจ้างให้อุตสาหกรรมไทยได้ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศจะเป็นส่วนสนับสนุนให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตมากกว่านี้
 
ปัจจุบันสมาชิกในสมาคมส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สัดส่วนประมาณ 80-90% ที่เหลือเป็นผู้ผลิตโลหะทุกชนิด ยางพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติก และไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์
 
นางดวงใจ อัศวจินตจิตร์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า นโยบายของบีโอไอสนับสนุนทั้งรายใหญ่และรายเล็กอย่าง SMEs ในส่วนกลางมีการจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ Business Matching โดยตลอด ล่าสุดโครงการจัดงานตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน หน่วยพัฒนาการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม หรือหน่วย BUILD ได้จัดกิจกรรมตลาดกลางซื้อขายชิ้นส่วน โดยได้นำคณะผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยมาพบปะเจรจาซื้อขายชิ้นส่วนกับบริษัทผู้ผลิตชั้นนำของนิคมอุตสาหกรรมนวนครซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักร และมีแผนที่จะจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในการผลิตสินค้า
 
โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่2 มีผู้เข้าร่วมงาน 108 บริษัท คาดว่าจะมีการหารือเจรจาธุรกิจไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายผ่านงานครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้หน่วย BUILD ได้จัดงานจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายประมาณ 10 ครั้ง ในนิคมอุตสาหกรรมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ รวมทั้งยังจัดงานพาผู้ผลิตชิ้นส่วนพบปะกับผู้ซื้อรายใหญ่ และพาผู้ประกอบการไทยออกไปขายสินค้าในต่างประเทศ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญทั่วโลก โดยคาดว่าผลจากการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของหน่วย BUILD ในปีนี้ จะเกิดมูลค่าการซื้อขายประมาณ 50,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาท
 
นายวินิจ ฤทธิ์ฉิ้ม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์มีศักยภาพและเทคโนโลยี พร้อมที่จะผลิตชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ได้ แต่ข้อเสียเปรียบของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์รายใหม่ เป็นเรื่องการหาตลาดใหม่ ยิ่งเป็น SMEs แม้จะผลิตสินค้าได้แทบทุกอย่าง เช่น ถุงมือยาง เข็มฉีดยา และอื่น ๆ แต่มีข้อจำกัดที่ขายได้เพียงในประเทศ เพราะการจะส่งออกขายต่างประเทศยังขาดการทำตลาดที่เก่ง ต้องวางแผนการตลาดให้เป็น ซึ่งตอนนี้ยังทำได้น้อยมาก
 
 
ผู้ประกันตนมาตรา 40 ชำระเงินสมทบผ่าน (เทสโก โลตัส) ทุกสาขาทั่วประเทศ 1 บิล รับ 1 สิทธิ ลุ้นของรางวัลมากมาย
 
ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ทางเลือก 1 และทางเลือก 2 ชำระเงินสมทบ ณ จุดบริการ One stop ที่เทสโก้ โลตัส ทุกสาขา ลุ้นรับรถ ทัวร์เที่ยวไทย บัตรของขวัญ แจกกระจาย” 1 บิล ได้รับ 1 สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 30 พ.ย. 58 
          
นางปราณิน มุตตาหารัช เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้อำนวยความสะดวกในการนำส่งเงินสมทบแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ไว้หลากหลายช่องทาง โดยได้ร่วมกับห้างเทสโก้ โลตัส ให้บริการรับชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ทางเลือก 1 และทางเลือก 2 ณ จุดบริการ One stop บริการครบ จบในจุดเดียว ซึ่งห้างเทสโก้ โลตัส ได้จัดกิจกรรม “จ่ายบิล เติมเงิน ที่เทสโก้ โลตัส ทุกสาขา ลุ้นรับรถ ทัวร์เที่ยวไทย บัตรของขวัญ แจกกระจาย”เพียงผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือก 1 และทางเลือก 2 ชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม จ่าย 1 บิล ได้รับ 1 สิทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2558 มีสิทธิลุ้นรางวัลมากมาย ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 รถยนต์มาสด้า 3 ALL NEW MAZDA 2.0E รุ่น SKYACTIVE จำนวน 3 รางวัล รางวัลละ 833,000 บาท รางวัลที่ 2 แพคเกจที่พักโรงแรมสุดหรู จำนวน 15 รางวัล รางวัลละ100,000 บาท และรางวัลที่ 3 บัตรของขวัญ จำนวน 30 รางวัล รางวัลละ 10,0000 บาท รวมรางวัลมูลค่าสูงสุดกว่า 4,200,000 บาท กติกาการร่วมสนุกเพียงกด *457*9* เลขที่ใบเสร็จรับเงิน # โทรออก ค่าใช้จ่ายครั้งละ 3 บาท ทุกเครือข่าย โดย 1 เลขที่ใบเสร็จถือเป็น 1 สิทธิ ในการลุ้นรางวัล (ใบเสร็จเงินจากการชำระค่าบิล จะต้องเก็บใบเสร็จจากการชำระบิลไว้เป็นหลักฐานในการรับรางวัลเท่านั้น)    
          
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ประกันสังคม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนประกันสังคม โทร.1506 เจ้าหน้าที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th
 
 
เผยสถิติ “คนพิการตกงาน” กว่า 300,000 คนทั่วประเทศ ดึงภาคเอกชนร่วมมือสร้างโอกาสทำงาน 
 
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 58 ณ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ เปิดเวทีเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็น “ม.33 ให้สิทธิคนพิการจ้างงานแค่ไหน” ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 แลกเปลี่ยนมุมมองจากตัวแทนวิทยากรภาครัฐ อาทิ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เครือข่ายคนพิการ และผู้ประกอบการ 
           
นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า สถานการณ์การจ้างงานคนพิการที่ผ่านมา พบว่า ในประเทศไทยมีคนพิการที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวน 769,327 คน และมีคนพิการที่ได้ทำงานเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ดังนั้น ยังมีคนพิการที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ได้ทำงานมากถึง 353,859 คน จึงทำให้เกิดแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแบบครบวงจร สุขภาวะจากการทำงาน ในปี 2557 ได้ดำเนินโครงการนำร่องจ้างงานคนพิการในชุมชนจำนวน 229 คน ด้วยความร่วมมือของ 20 บริษัทชั้นนำ อาทิ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด และบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) 
 
จากการดำเนินโครงการ พบว่า สามารถจัดหางานที่เหมาะสมให้กับคนพิการได้ดีกว่าเดิมมาก เช่น ให้คนพิการช่วยสอนหนังสือในโรงเรียน ทำงานในโรงพยาบาล ทำงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำงานพัฒนาชุมชนร่วมกับทีมพัฒนาชุมชนของบริษัท ฯลฯ และพบว่าคนพิการที่เข้าร่วมโครงการมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ก็รู้สึกพึงพอใจมากที่ได้ช่วยเหลือคนพิการและช่วยเหลือชุมชนไปพร้อมๆ กัน การจ้างงานคนพิการในชุมชนถือเป็นทางเลือกใหม่ในการที่จะพัฒนาศักยภาพคนพิการ เพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการได้เข้าสู่การจ้างงานโดยสถานประกอบการ เพื่อทำงานในชุมชนหรือองค์กรสาธารณประโยชน์ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทั้งยังเตรียมความพร้อมและพัฒนาให้คนพิการสามารถเข้าสู่การจ้างงานในระบบสถาน ประกอบการได้ในอนาคต
          
นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนา ตัวแทนเครือข่ายคนพิการกล่าวว่า การมีงานทำเป็นความต้องการสูงสุดของทุกคน สำหรับ “คนพิการต้องมีงานทำ” เป็นคำประกาศที่ตรงใจมาก เพราะตลอดชีวิตการทำงานของตนเองเพื่อให้คนพิการมีงานทำ การจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานชุมชนเป็นทางเลือกที่ดีและเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ คนพิการที่เข้าถึงสิทธิมีความพร้อมทั้งร่างกายจิตใจและความรู้ความสามารถ เราต่างต้องการดำรงชีวิตอิสระ ต้องการแสดงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมในสังคม คนพิการต้องแสดงให้เห็นถึงพลังในตนเองและนำพลังนี้ไปพัฒนาชุมชนไม่ว่าเพื่อคนพิการ หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออื่น และขอหนุนแนวทางการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานให้ชุมชนหรือองค์กร สาธารณประโยชน์นี้ต่อไป
 
นายธานัท รักเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความผูกพันองค์กร กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีการจ้างงานคนพิการทั้งหมด 282 คน เป็นการจ้างงานทางเลือกใหม่ 71 คน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้คนพิการได้มีโอกาสทำงานบริการสาธารณะในชุมชนที่ตนเองพักอาศัย สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนพิการ ช่วยให้คนพิการมีรายได้ มีศักดิ์ศรี สามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังสร้างประโยชน์แก่ชุมชน เชื่อว่ามีสถานประกอบการหลายแห่งที่อยากจะทำให้การจ้างงานคนพิการให้ชุมชนนี้ประสบความสำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะช่วยให้คนพิการมีงานทำเพิ่มขึ้นได้มาก
 
 
พบข้อมูลการสอบเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตำบล จำนวน 19 อบต. ในพื้นที่ จ.มหาสารคาม มีการทุจริต คาดวางเงินสูงกว่า 400 ล้านบาท
 
รองผวจ.มหาสารคาม นายไกรสร กองฉลาด ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเป็นพนักงานส่วนตำบล ระบุว่า พบหลักคะแนนผลสอจากของ อบต. 19 แห่ง ปรากฏว่าผลคะแนนไม่ตรงกัน เนื่องจากคะแนนของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ มีผู้สอบผ่านเกณฑ์ 60 เปอร์เซ็นต์เพียง1 คน เท่านั้น แต่มีการแก้ไขคะแนนให้สอบผ่าน422 คน เพราะจากการตรวจกระดาษสอบมีร่อยรอยการลบแก้ไขจนเละเทอะสกปรก แล้วข้อที่ถูกแก้ไขตอบถูกหมด ขณะที่มีข้อมูลเชิงลึก พบว่ามีขบวนการอ้างผู้ใหญ่ เรียกเงินค่าตอบแทนรายละหลายแสนบาท เพื่อรับงานให้สอบผ่านเป็นพนักงาน อบต.ได้ ซึ่งประเมินแล้ววงเงินเกินกว่า 400 ล้านบาททั้งนี้ จังหวัดมหาสารคาม ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่าพบหลักฐานมีการทุจริตทั้ง2 สนาม และได้สั่งเพิกถอนการบรรจุพนักงานของ 19อบต.ที่สอบโดยมหาวิยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ และเสนอเรื่อง12 อบต.ที่จัดสอบโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปยัง ก.อต. กลาง ให้ยกเลิกผลการสอบ ปี2556 และปี 2557 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กรรมากร.อบต กลาง และยังได้นำเรื่องนี้เสนอไปยัง ปปช. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
 
 
หวั่นท่องเที่ยวเอเชียวิกฤตแรงงาน คาดปี 2564 ขาดแคลนแน่ 7.7ล้านคน-ไทยติด 1 ใน 3
 
นายแอนดรูว์ พัว ผู้อำนวยการฝ่ายนิทรรศการและการประชุมแห่งการท่องเที่ยวสิงคโปร์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 7 ประเทศเอเชีย พบว่าในปี 2564 จะขาดแคลนถึง 7.7 ล้านคน โดยประเทศจีนขาดแคลนแรงงานมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ถึง 4.49 ล้านคน รองลงมาคือ อินเดียขาดแคลน 1.53 ล้านคน ตามด้วยไทยขาดแคลน 1.06 ล้านคน สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียกว่า 4-5 เท่า โดยอินโดนีเซียขาดแคลน 2.5 แสนคน มาเลเซียขาดแคลน 2 แสนคน ญี่ปุ่นขาดแคลน 2 แสนคน และสิงคโปร์ขาดแคลน 4 หมื่นคน
 
"การขาดแคลนแรงงานเป็นอีกหนึ่งปัญหาและความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเอเชีย โดยขาดแคลนตั้งแต่พนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับผู้บริหาร ไม่ค่อยมีการอบรมหรือเทรนนิ่งในกลุ่มพนักงานระดับปฏิบัติการ ทำให้ขาดทักษะการทำงานที่หลากหลาย นอกจากนี้ผู้บริหารระดับกลางที่จะก้าวขึ้นไปทำงานในระดับสูงก็ได้รับการอบรมไม่เพียงพอ และแม้จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในสิ้นปี 2558 ก็ตาม แต่มองว่าจะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้อย่างที่หวังไว้"
 
นอกเหนือจากประเด็นการขาดแคลนแรงงานแล้ว อีกความท้าทายหนึ่งคือ การเจาะตลาดกลุ่มประชากรเอเชียรุ่นใหม่ หรือ "เอเชี่ยนมิลเลนเนียล" ซึ่งเป็นผู้เกิดระหว่างปี 2524-2538 โดยจากงานวิจัยของการท่องเที่ยวสิงคโปร์ วีซ่า และแมคคินซีย์ แอนด์ โค เมื่อปี 2556 ระบุว่า เป็นกลุ่มที่มีรายได้และรายจ่ายสูงสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะมีโอกาสเติบโตอย่างมหาศาลจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มีการคาดการณ์ว่ายอดเงินที่คนกลุ่มเอเชี่ยนมิลเลนเนียลใช้สำหรับการท่องเที่ยวในต่างแดน จะเพิ่มสูงถึง 1.6 เท่า หรือเป็นวงเงิน 3.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 12 ล้านล้านบาท ภายในปี 2563
 
ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกลุ่มวัยทำงานทั่วโลก กำลังก้าวเข้าสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่ามิลเลนเนียล
 
ในปี 2568 ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและการเดินทางจึงควรร่วมกันพัฒนาแนวทางและมองหาไอเดียใหม่ ๆ ที่ไม่เพียงแต่ดึงดูดกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เท่านั้น แต่ยังช่วยดึงดูดพนักงานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้วยเช่นกัน กลุ่มเอเชี่ยนมิลเลนเนียลจึงถือเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อภาคการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก
 
พฤติกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจของกลุ่มเอเชี่ยนมิลเลนเนียลคือ เป็นกลุ่มที่รักการหาข้อมูล มองหา 3 เรื่องหลัก ๆ ในชีวิต ได้แก่ ความง่าย ความเป็นส่วนตัว และสมาร์ทโฟน จึงเป็นกลุ่มที่นิยมท่องเที่ยวด้วยตัวเอง วางแผนการท่องเที่ยวอย่างยืดหยุ่น และมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำ ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องใช้บริการสายการบินไหนเป็นพิเศษ เน้นพิจารณาเรื่องของราคาสินค้าท่องเที่ยวเป็นหลัก 
 
โดยนักท่องเที่ยวสิงคโปร์และจีนต่างเป็นตลาดที่มองหาดีลสินค้าท่องเที่ยวราคาถูก เมื่อดูเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลแล้ว พบว่ามีความถี่เดินทางเที่ยวต่างประเทศเฉลี่ย 4 ครั้งต่อปี พำนักครั้งละประมาณ 4 คืน ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มมิลเลนเนียลชาติอื่น เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ถึง 2 เท่า และกว่า 79% นิยมแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวในโซเชียลมีเดีย
 
"การที่กลุ่มประเทศอาเซียนมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 3 เท่าตัว หรืออยู่ที่ประมาณ 210 ล้านคน โดยสัดส่วนกว่า 60% จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชี่ยนมิลเลนเนียล ดังนั้น ชาติในอาเซียนต้องร่วมกันพัฒนาและโปรโมตการท่องเที่ยวเชื่อมโยงในภูมิภาค ให้อาเซียนเป็นจุดหมาย ปลายทางเดียวของนักเดินทางต่างชาติ เช่น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประชุมที่สิงคโปร์ สามารถท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปยังจุดหมายอื่น ๆ ในอาเซียน เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน"
 
นายแอนดรูว์กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุด การท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ได้จัดงานเสวนา เดอะ สิงคโปร์ ไดอะล็อก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการโปรโมตงานมหกรรมการเดินทางและธุรกิจท่องเที่ยวระดับเอเชีย 
 
"TravelRave 2015" ที่สิงคโปร์ มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19-26 ตุลาคมนี้ โดยรวบรวมงานสัมมนาชั้นนำของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น โฮเต็ล เทคโนโลยี, ไอทีบี เอเชีย และเว็บ อิน แทรเวล มาไว้ในงานเดียว
 
 
เครือข่าย ปชช.เพื่อรัฐสวัสดิการ ชี้ "เบี้ยยังชีพ" 600 บาทไม่พอ วอนรัฐเปลี่ยนเป็นออมเพื่อบำนาญอัตราสูง
 
น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าวว่า เครือข่ายฯ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ความมั่นคงในชีวิตเมื่อสูงวัย โดยเก็บข้อมูลจากประชาชน 3 กลุ่มอายุ คือ อายุต่ำกว่า 25ปี อายุ 25-59 ปี และ อายุ 60 ปีขึ้นไป จาก 4 ภูมิภาค จำนวน 953 คน ระหว่าง ส.ค. - ก.ย. ที่ผ่านมา พบประชาชนร้อยละ 65 มีการวางแผนด้านรายได้เมื่ออายุ 60 ปี ส่วนอีกร้อยละ 35 ไม่มีการวางแผน โดยคนที่วางแผนด้านรายได้นั้น ร้อยละ 25 คาดว่าจะมีรายได้จากเบี้ยยังชีพ ร้อยละ 21 จากลูกหลาน ร้อยละ 16 จากเงินเก็บออม ร้อยละ 15 จากการทำงาน และ ร้อยละ 4 จากบำเหน็จบำนาญทั้งส่วนข้าราชการและประกันสังคม ทั้งนี้ มีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ที่คิดเรื่องการออมเพื่อบำนาญ เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และการจัดระบบบำนาญแห่งชาติ ที่เสนอให้มีการออกกฎหมายบำนาญแห่งชาติ เพื่อสร้างหลักประกันทางรายได้ที่เหมาะสมเพียงพอต่อการดำรงชีวิต
 
น.ส.สุรีรัตน์ กล่าวว่า เมื่อถามเรื่องความกังวลใจที่สุดตอนอายุ 60 ปี พบว่าร้อยละ 25 กังวลเรื่องสุขภาพมากที่สุด ร้อยละ 21 กังวลเรื่องรายได้ ร้อยละ 19 กังวลเรื่องคนดูแล ร้อยละ 18 กังวลเรื่องที่อยู่อาศัย ร้อยละ 17 เรื่องหนี้สิน โดยปัญหาสุขภาพจะเกี่ยวโยงกับเรื่องรายได้จากการทำงาน เพราะหากเจ็บป่วยอาจทำงานไม่ได้ทำให้ขาดรายได้ โดยกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 67 คาดหวังให้รัฐมีระบบบำนาญพื้นฐานที่ครอบคลุมทุกคน โดยเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 34 คิดว่าหลังอายุ 60 ปี จะมีค่าใช้จ่ายดำรงชีพต่อเดือนอยู่ระหว่าง 6,000-10,000 บาท รองลงมาคือ 3,000-6,000 บาท
 
 “ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนคาดหวังให้รัฐปรับเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญพื้นฐานในอัตราที่สูงกว่า 600 บาท ซึ่งไม่เพียงพอกับการยังชีพในปัจจุบัน หรืออย่างน้อยควรใกล้เคียง 3,000 บาทต่อเดือน รัฐจำเป็นต้องกำกับให้ระบบบำนาญทั้งหมดเอื้อต่อประชากรทุกกลุ่มอาชีพ ทุกกลุ่มวัย โดยมีคณะกรรมการกำกับให้แต่ละชั้นของระบบบำนาญมีความคล่องตัว มีความเป็นธรรม และมีการติดตามตรวจสอบกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการล้มละลายที่อาจเกิดขึ้นในการบริหารจัดการ เป็นต้น” น.ส.สุรีรัตน์กล่าว
 
น.ส.จุฑาเนตร สาสดี เยาวชนจากเครือข่ายแรงงานนอกระบบ หนึ่งในผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นในการสำรวจ กล่าวว่า การจะสร้างความมั่นคงเมื่อสูงวัยได้นั้น ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่มสาว มีการวางแผนออมเงินสะสมเพื่อวันข้างหน้า แต่รัฐก็ควรที่จะจัดระบบบำนาญพื้นฐานไว้เป็นฐานรองรับสำหรับทุกคน โดยเปลี่ยนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และปรับอัตราเงินรายเดือนให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต วันเยาวชนปีนี้จึงอยากบอกให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ ควรเริ่มมีการเตรียมพร้อมและร่วมกันใส่ใจสังคมไทยที่เป็นสังคมสูงวัยแล้ว ให้มีการจัดระบบบำนาญแห่งชาติสำหรับทุกคน เพื่อผู้สูงวัยในวันนี้และคนสูงวัยในอนาคตด้วย
 
 
กรมจัดหางานเตือนลักลอบเข้าสิงคโปร์ คุก 2 ปี ปรับ 5 แสน
 
กรมจัดหางานลำปางประกาศเตือน คนไทยอย่าหลงเชื่อนายหน้าส่งคนไปทำงานตปท. โดยไม่ผ่านกรมจัดหางาน เผยโทษหนักปรับ 2 หมื่นเหรียญ จำคุก 2 ปี ทราบเบาะแสกระทำผิดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
 
นางพรปวีณ์ วิชิต เจ้าหน้าที่จากกรมจัดหางานลำปางประกาศเตือน คนไทยอย่าหลงเชื่อนายหน้าส่งคนไปทำงาน ตปท.โดยไม่ผ่านกรมจัดหางาน เผยโทษหนักปรับ 2 หมื่นเหรียญ จำคุก 2 ปี ทราบเบาะแสกระทำผิดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
 
เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานจังหวัดลำปางเปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับการประสานจากสำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ว่ามีคนหางานหญิงไทยหลงเชื่อถูกชักชวนให้ลักลอบไปทำงานเป็นผู้ช่วยแม่บ้านในประเทศสิงคโปร์ ได้รับค่าจ้าง 10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ทางการสิงคโปร์จับกุมได้ขณะทำงานที่บ้านพักแห่งหนึ่งและถูกดำเนินคดีในข้อหาไม่มีใบอนุญาตทำงานจึงขอแจ้งให้แรงงานไทยทราบว่าลูกจ้างชาวต่างชาติที่ประเทศสิงคโปร์จะต้องมีใบอนุญาตทำงานโดยเฉพาะในระดับผู้ใช้แรงงานหรือผู้ช่วยแม่บ้าน และนายจ้างจะต้องส่งใบอนุญาตทำงานให้ลูกจ้างที่จะเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์
 
"ทั้งนี้ต้องทำงานในภาคธุรกิจตรงกับตำแหน่งงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาตทำงานเท่านั้น ซึ่งการทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตมีโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 เหรียญสิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปางจึงขอเตือนคนหางานที่ประสงค์จะไปทำงานหรือฝึกงานในต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถจัดส่งไปทำงานต่างประเทศได้โดยไม่ผ่านกรมการจัดหางาน โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีกฎหมายหรือกฎระเบียบเข้มงวด อีกทั้งยังมีบทลงโทษผู้กระทำผิดค่อนข้างรุนแรง" นางพรปวีณ์ กล่าว 
 
นางพรปวีณ์ ทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ตามหากผู้ใดถูกหลอกลวงสามารถแจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสผู้มีพฤติกรรมหลอกลวงคนหางานได้ที่สำนักงานจังหวัดลำปาง โทร 054-2655049 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694.
 
 
บอร์ด 'กยศ.' จ่อฟ้องลูกหนี้ 1.3แสนราย/เตือนรีบชำระ
 
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการชำระหนี้ตามที่กยศ. เสนอ โดยการทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรนายจ้าง จัดโครงการรณรงค์ให้พนักงานชำระหนี้กยศ. ผ่านการหักบัญชีเงินเดือน ซึ่งจะมีส่วนลดให้สำหรับผู้ที่ไม่ค้างชำระ ทั้งนี้ องค์กรนายจ้างสามารถยื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบการกำหนดเป้าหมายจำนวนผู้กู้ยืมในปีการศึกษา 2559 แบ่งเป็น ผู้กู้กยศ.ทั้งรายเก่าและรายใหม่ 714,140 ราย วงเงินให้กู้ยืม 29,898 ล้านบาท กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ทั้งรายเก่าและรายใหม่ 146,378 ราย วงเงินให้กู้ยืม 9,172 ล้านบาท 
 
ผู้จัดการ กยศ. กล่าวต่อไปว่า ตัวเลขผู้กู้ กยศ.ในปีการศึกษา 2558 ข้อมูลล่าสุดมีผู้ยื่นกู้ทั้งหมด745, 524 ราย แบ่งเป็น ผู้กู้รายเก่า 517,044 ราย ผู้กู้รายใหม่ 228,480 ราย ส่วนผู้กู้ กรอ. 94,744 ราย แบ่งเป็น ผู้กู้รายเก่า 56,385 ราย ผู้กู้รายใหม่ จำนวน 38,359 ราย สำหรับความคืบหน้าในเรื่องการดำเนินคดีกับผู้กู้ที่ผิดนัดชำระเงินกู้กยศ. นั้น ในปีนี้ กยศ.ได้ดำเนินการฟ้องร้องไปแล้ว 120,622 ราย ส่วนปี 2559 กยศ. จะบอกเลิกสัญญา และเตรียมดำเนินการฟ้องร้องอีกประมาณ 130,000 ราย โดย กยศ.จะอนุมัติให้ฟ้องในเดือนเมษายน และจะดำเนินการฟ้องร้องในช่วงเดือนมิถุนายน-พฤษภาคม 2559 ดังนั้น ขณะนี้จึงยังพอมีเวลา ขอให้ผู้ที่ค้างชำระ และรู้ตัวว่าเข้าข่ายจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเร่งติดต่อกยศ. เพื่อชำระหนี้ที่ค้างจะได้ไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
 
 
แรงงานสายไอที ยังต้องการเพิ่ม สวนกระแสเศรษฐกิจดาวน์ รายได้สูงลิ่ว
 
ผลสรุปจากการศึกษาหรือสำรวจของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย “สุธิดา กาญจนกันติกุล” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ให้ความเห็นว่า ความต้องการกลุ่มสายงานด้าน IT ในปี 2557 มีอัตราความต้องการเพิ่มจาก ปี 2556 ร้อยละ 20 แต่ในปี 2558 ความต้องการเพิ่มจากปี 57 ถึงร้อยละ 40 เรียกได้ว่าความต้องการสวนกระแสเศรษฐกิจ โดย Contract Staff (พนักงานสัญญาจ้าง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IT Support หรือ Network Engineer เป็นกลุ่มที่มีความต้องการมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา เป็นตลาดธุรกิจที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 50 และคาดว่าจะยังคงเป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเทรนด์ความต้องการใน พ.ศ.นี้ เน้นหนักไปทาง IT ที่มี Business Solution มากขึ้น และมุ่งเน้นงานในลักษณะโปรเจคท์มากกว่า
 
พนักงานสัญญาจ้างระยะเวลาของสัญญานั้นไม่ตายตัว อาจแบ่งเป็น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ตามแต่โปรเจคท์งานนั้น ๆ ซึ่งสายงานที่โดดเด่นในการจ้างงานลักษณะนี้คือ Software Development ที่มียอดเพิ่มจากเดิมร้อยละ 50 โดยส่วนมากมีการจ้างงานในระยะเวลา 6 เดือน กลุ่มอายุอยู่ที่ระหว่างตั้งแต่ น.ศ.จบใหม่จนถึงอายุ 35 ปี ในส่วนของค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานสัญญาจ้าง เมื่อเทียบกับอัตราค่าจ้างของพนักงานประจำ ไม่ต่างกันแต่ขึ้นอยู่กับโปรเจคท์และประสบการณ์ของผู้ถูกจ้าง นอกจากนี้เรื่องสวัสดิการเป็นส่วนสำคัญที่ผู้สมัครคำนึงและต้องการเสมอมา
 
แมนพาวเวอร์มีพนักงานไม่ประจำมากกว่าร้อยละ 90 ที่ได้รับสวัสดิการมากกว่าที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้กลุ่มสายงานด้าน IT ถือเป็นอาชีพที่มีฐานเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง ซึ่งฐานเงินเดือนของกลุ่มสายงานด้าน IT อยู่ระหว่าง 15,000 - 220,000 บาท โดยสามารถจัดอันดับ Top 5 ฐานเงินเดือนกลุ่มสายงานด้าน IT ของประเทศในกลุ่มอาเซียน ดังนี้ อันดับ 1 ประเทศสิงค์โปร อันดับ 2 ประเทศมาเลเซีย อันดับ 3 ประเทศไทย อันดับ 4 ประเทศเวียดนาม และอันดับ 5 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ดังนั้นเมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเปิดอย่างเต็มตัวปลายปี 2558 นี้ จึงมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้นอีก ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของแต่ละบุคคลด้วย 
 
สุธิดา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันหน่วยงานองค์กรธุรกิจต่าง ๆ มีความต้องการบุคลากรกลุ่มสายงานด้าน IT ที่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อนเป็นอันดับแรก น.ศ.จบใหม่ที่ขาดประสบการณ์การทำงานต้องใส่ใจเรื่องผลการเรียน เกรดเฉลี่ยไม่ควรต่ำกว่า 3 พร้อมด้วยภาษาอังกฤษคะแนน TOIEC ประมาณ 800 คะแนน เพราะโดยมากบุคลากรกลุ่มสายงานด้าน IT ใช้ศัพท์เฉพาะซึ่งเป็นศัพท์เทคนิคของกลุ่มสายงานเอง นี่คือจุดอ่อนที่บุคลากรของไทยเสียเปรียบ ซึ่งหากไม่มีการพัฒนาหรือปรับปรุง อาจทำให้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันแซงหน้าเราไปได้
 
นอกจากความสำคัญดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือ น.ศ.จบใหม่ต้องไม่เลือกงาน เพราะนอกจากทักษะดีแล้วต้องมีทัศนคติที่ดี ทัศนคติถือเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรยุคใหม่ต้องการ เพราะจะทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปได้เร็วในทิศทางเดียวกัน และหากบุคลากรกลุ่มสายงานด้าน IT ต้องการเติบโตขึ้นในสายงานนี้ 
 
สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในสายงาน IT ยุคใหม่ คือ ต้องมีทักษะการบริหาร (Management Skill) เพื่อการเติบโตในสายงาน อีกทั้งความเป็นมืออาชีพ (Specialist) ซึ่งทักษะในสายอาชีพที่จำเป็นต่อกลุ่มสายงานด้าน IT จัดอันดับ Top 5 คือ 1.Software Development เทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ .NET และ Mobile Application 2.SAP & ERP 3.Mainframe/ Database/ Network 4.Fintech (Financial Technology) และ 5.Infrastructure
 
 
ก.แรงงาน เผยแรงงานไทยที่จะไปมาเลเซีย ต้องไปรับการตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่ติดตั้งระบบ FWCMS
 
นายอารักษ์ พรหมณี รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สำนักงานแรงงานในมาเลเซีย (สนร.มซ) รายงานว่าทางการมาเลเซียประกาศเริ่มบังคับใช้ระบบการจัดการรวมศูนย์ข้อมูลสำหรับการนำเข้าแรงงานต่างชาติ (FWCMS) อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2558 เป็นต้นมา โดยจะใช้เฉพาะระบบตรวจสุขภาพ (Bio Medical) และการขอ Calling Visa (eVDR) ทั้งนี้ แรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศมาเลเซียทุกคน ใน 6 ภาคประกอบการ ได้แก่ ภาคการเพาะปลูก ภาคการก่อสร้าง ภาคการเกษตร ภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม และผู้ช่วยแม่บ้าน (ยกเว้นแรงงาน ประเภท Expatriate และแรงงานตำแหน่งผู้ประกอบอาหารในร้านอาหารประเภทต้มยำ ซึ่งขอใบอนุญาตทำงานแบบ 3 เดือน) โดยแรงงานต่างชาติต้องมีอายุระหว่าง 18-45 ปี (ยกเว้นตำแหน่งพนักงานนวด ต้องมีอายุตั้งแต่ 21-45 ปี)
 
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่ติดตั้งระบบ FWCMS จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลนอร์ทอีสเทอร์นวัฒนา จ. อุดรธานี โทร. +66883125624 และ +6642241956 และ โรงพยาบาลเอกชัย จ. สมุทรสาคร โทร. +66818956451 และ +6634417900
 
สำหรับระบบ FWCMS หรือ Foreign Workers Centralized Management System เป็นระบบข้อมูลออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศมาเลเซีย เช่น หน่วยงานภาครัฐมาเลเซีย นายจ้างมาเลเซีย บริษัทจัดหางานเอกชน สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียที่ประจำในประเทศนั้นๆ และแรงงานต่างชาติ รวมถึงสถานพยาบาล เพื่อบริหารจัดการระบบแรงงานต่างชาติที่มาทำงานในประเทศมาเลเซียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพ การขอ Visa การขอ Work Permit การคุ้มครองแรงงาน และการจัดสวัสดิการแก่แรงงานต่างชาติ
 
สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซียหมายเลขโทรศัพท์ 03-2145 5868 / 03-2145 6004 E-mail : thai_labour_office@yahoo.com Facebook : สำนักงานแรงงานในมาเลเซีย และสามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับระบบ FWCMS เพิ่มเติมได้ที่ Website : http://malaysia.mol.go.th/node/558
 
 
สายงานอาชีวะขาดบุคลากรนับแสน รัฐ-เอกชนเล็งปรับภาพลักษณ์ "ตีกัน-รายได้ต่ำ"
 
นายอกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้สัมภาษณ์ว่า ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาอาชีวศึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่หนึ่งในปัญหาที่พบคือ ทัศนคติและความเข้าใจที่ไม่ตรงความจริง เช่น "เด็กที่เข้าอาชีวะเป็นเด็กเรียนอ่อน" แต่ความจริง มีเด็กเก่งแต่ด้อยโอกาสเข้ามาเรียนด้วย 
 
ด้านนายถาวร ชลัษเฐียร (ชลัด-เถียร) ประธานสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ต้องพัฒนาการเรียนแบบทวิภาคีคือเน้นรูปแบบผู้เรียนศึกษาในสถานที่จริง สถานประกอบการให้ค่าจ้างผู้เรียนมากกว่า 300 บาทต่อวันทำให้ผู้เรียนมีรายได้ต่อเดือนเกือบ 1 หมื่นบาท ถ้าทำงานดี เมื่อเรียนจบอาจเข้าทำงานในโรงงานที่ศึกษาเลย โดยปัจจุบันมีสถานประกอบการพร้อมเข้าร่วมกว่าหมื่นแห่ง ถือว่าโอกาสจบแล้วมีงานทำมากกว่าปริญญาตรี เพราะแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมหลายกลุ่มต้องการบุคลากรอีกจำนวนมาก ขณะที่ผู้จบปริญญาตรีมีอัตราว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ 
 
อีกหนึ่งปัญหาที่พบคือ อาชีวศึกษามักถูกมองในแง่ลบเพราะปัญหาตีกัน แต่ข้อมูลจากการศึกษาของมูลนิธิเอสซีจีพบว่า ปัญหาตีกันมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของปัญหาที่เกิดทั้งหมด และปัญหาที่ตีกันเกิดกับ 14 สถาบันในกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น ที่ผ่านมามีโครงการทวิภาคีพิเศษ นำนักศึกษาจากสถาบันที่มีปัญหาเข้ามาทำงาน นายถาวร เล่าว่า ส่วนใหญ่ทำงานได้ดีแต่มีปัญหาบ้างเช่น หลับในห้องอบรม หรือขาดงานบ้าง แต่เข้าใจว่าเป็นเด็กและทำเพื่อปรับปรุงรวมถึงตัดวงจรบางอย่างในระบบ
 
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับผู้กู้ที่ผิดนัดชำระเงินกู้ กยศ.นั้น นางสาวฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ในปี 2558 กยศ.ได้ฟ้องร้องไปแล้ว 120,622 ราย ส่วนปี 2559 มีผู้ที่กองทุนจะบอกเลิกสัญญาและเตรียมฟ้องร้องอีกประมาณ 130,000 ราย โดยจะอนุมัติให้ฟ้องในเดือนเมษายน และจะฟ้องร้องในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ถือว่ายังพอมีเวลา จึงอยากให้ผู้ที่ค้างชำระและรู้ตัวว่าเข้าข่ายจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเร่งติดต่อ กยศ.เพื่อขอชำระหนี้ 
 
ขณะที่มาตรการกระตุ้นการชำระหนี้ ล่าสุด กยศ.เตรียมทำข้อตกลงกับองค์กรนายจ้าง จัดโครงการรณรงค์ให้พนักงานชำระหนี้ กยศ.ผ่านการหักบัญชีเงินเดือน โดยมีแรงจูงใจสำหรับผู้ที่ไม่ค้างชำระจะมีส่วนลดหักเงินคืนจำนวนหนึ่ง โดยองค์กรนายจ้างสามารถยื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้ 
 
 
พก.ขับเคลื่อนจ้างงานคนพิการภาครัฐเอกชน
 
พลตำรวจเอก อดุลย์  แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเปิดเวทีเสวนาเพื่อรับฟัง ความคิดเห็นในเรื่อง "ม.33  ให้สิทธิคนพิการจ้างงาน แค่ไหน" ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
 
ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนมุมมองจากตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเปิดเผยสถิติคนพิการตกงานที่มีกว่า 300,000 คน ทั่วประเทศ ทั้งนี้ จะมีความร่วมมือกับภาคเอกชน ในการสร้างโอกาสในการทำงานสำหรับ คนพิการ และส่งเสริมให้คนพิการมีความอิสระใน การทำงานที่บ้านในชุมชนของตนเอง ตนได้กำชับให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ดำเนินการขับเคลื่อนการสร้างโอกาสใน การทำงานสำหรับคนพิการในภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชนอย่างเป็นระบบและครบวงจรในการแก้ปัญหาคนพิการว่างงานในระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างงานให้คนพิการสามารถทำงานได้ที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางออกมาทำงานข้างนอก
 
 
ผลวิจัยชี้เหยื่อค้ามนุษย์ ยังไร้ทิศทางพึ่งพิงหน่วยงานรัฐ
 
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน(Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) ร่วมกับ นายศรัณย์พงศ์ ฟุ้งเกียรติ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาอาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการค้นคว้าวิจัยเอกสาร สัมภาษณ์เจาะลึกบุคคลกุญแจสำคัญ และผลงานวิจัยก่อนหน้านี้ดำเนินโครงการในวันที่ 1 - 28 กันยายน พ.ศ. 2558 พบว่า 
 
ประชาชนคนไทยและชาวต่างชาติบางส่วนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์วิ่งหาองค์กรต่างๆ และหน่วยงานราชการแบบไร้ทิศทางชัดเจนในการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น เช่น ขอความช่วยเหลือไปที่กระทรวงแรงงานบ้าง กระทรวงพัฒนาสังคมฯ บ้าง ตำรวจบ้าง กระทรวงต่างประเทศบ้าง มหาดไทยบ้าง สำนักข่าวต่างๆ บ้าง และมูลนิธิฯ ต่างๆ บ้าง จะเห็นได้ว่าเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ขาดองค์กรหลักและไร้ทิศทางในการเข้าขอความช่วยเหลือและบางครั้งเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์หลุดรอดการตรวจของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปอยู่ในวังวนของขบวนการค้ามนุษย์ ผู้ประกอบการยังถูกเรียกเก็บรายเดือน
 
ยิ่งไปกว่านั้น ผลวิจัยชิ้นนี้ยังพบด้วยว่า กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการค้ามนุษย์มีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เช่น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีหน่วยงานรัฐเกี่ยวข้องหลายหน่วยงานได้แก่ พม. ปปง. ดีเอสไอ ยธ. ตร. รง. กต. และ มท. เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่มีหน่วยงานรัฐแต่ละส่วนราชการที่เป็นอิสระจากกันถือเอาไว้แยกอีกต่างหาก เช่น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ที่มี ตร. มท. พม. เกี่ยวข้อง และมี พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา และ พ.ร.บ. ควบคุมการขอทาน เป็นต้น รวมกฎหมายต่างๆ แล้วกว่า 25 ฉบับ แต่ขาดองค์ประกอบรวมในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ทั้งๆ ที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องถือกฎหมายกันไว้หลายสิบหน่วยงาน เสมือนกับว่าประเทศไทยมีเครื่องมือเยอะมากแต่การสกัดขบวนการค้ามนุษย์ทำไปโดยไม่เท่าขีดความสามารถที่มีอยู่
 
 รัฐบาลที่ผ่านๆ มาใช้คำสั่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่มักเรียกว่า “บูรณาการ” ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยคำสั่งต่างๆ มีรายชื่อคณะกรรมการจำนวนมากขาดพลังในการขับเคลื่อน และคำสั่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ยั่งยืนเปลี่ยนแปลงไปตามวาระของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลใดให้ความสำคัญน้อยหน่วยงานรัฐก็มักจะส่งตัวแทนระดับล่างๆ เข้าร่วมปฏิบัติการ นอกจากนี้ มีการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่แต่หลังการอบรมแล้วเจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับไปปฏิบัติภารกิจหลักของหน่วยตนเองมากกว่าเรื่องค้ามนุษย์ ส่งผลให้ขาดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ
 
 ระบบและกลไกแก้ปัญหาค้ามนุษย์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ถือว่าอยู่ในยุทธศาสตร์ที่ไม่ดี เพราะยุทธศาสตร์ที่ดีต้องชัดเจนเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจง่าย สอดคล้องกัน มีความต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับตั้งแต่สูงสุดจนถึงผู้ปฏิบัติและประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องรู้ว่า เหตุปัจจัยคืออะไรและช่วยกันแก้ให้ตรงเหตุปัจจัยนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นใครเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ที่เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์จะไปขอความช่วยเหลือจากใครตั้งแต่ต้นทางของปัญหาจนถึงปลายทางของปัญหา
 
 โดยสรุป เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปกป้องรักษาผลประโยชน์ชาติร่วม 4 – 5 แสนล้านบาทเอาไว้และหลุดพ้นจากเทียร์ 3 สู่ความเป็นผู้นำของอาเซียนในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์จึงเสนอรัฐบาลพิจารณา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ ป.ป.ม. ขึ้นเป็นองค์กรถาวรทำงานเชิงยุทธศาสตร์เพื่อค้นหาข้อมูลสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่แท้จริงมากำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายสาธารณะแปลงสู่ภาคปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เป็นที่พึ่งได้ของเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ลดปัญหาผู้ประกอบการถูกรีดไถรายเดือนและน่าจะช่วยลดความเคลือบแคลงสงสัยของต่างชาติ เสริมสร้างความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและภาพลักษณ์ประเทศไทยที่จะสามารถต่อต้านขบวนการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
 
เผย ก.ล.ต. อยู่ระหว่างแก้ไขกฎเกณฑ์เพื่อเปิดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกไปลงทุนต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันกำหนดให้ลงทุนได้ไม่เกิน 10% ของพอร์ต
 
นายหรรสา สุสายัณห์ Managing Director, Head of Corporate & High Net Worth Business บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างแก้ไขกฎเกณฑ์เพื่อเปิดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกไปลงทุนต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันกำหนดให้ลงทุนได้ไม่เกิน 10% ของพอร์ต หากกองหลักในต่างประเทศลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) หรือตราสารอนุพันธ์อื่นๆ
 
“ส่วนใหญ่กองทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศจะเขียนนโยบายการลงทุนไว้กว้างๆ และอาจลงทุนในตราสารอนุพันธ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยง ทั้งที่ความจริงกองทุนอาจไม่ได้ลงทุนเลย” นายหรรสา กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกณฑ์เป็นแบบนี้ทำให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพลงทุนต่างประเทศได้ไม่มาก จึงอาจทำให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเสียโอกาสในการลงทุนในช่วงที่หลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดี มีโอกาสที่จะหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นได้ ขณะที่เศรษฐกิจไทยชะลอ ทำให้หุ้นไทยมีความผันผวนสูง
 
นายหรรสา กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2558 ถึงปัจจุบันผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยติดลบและหากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เงินไหลออกไปสหรัฐ ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจึงมีอิทธิพลต่อการลงทุนทั้งในหุ้นและพันธบัตร ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทนจากตราสารหนี้ไทยก็อยู่ในระดับต่ำ
 
สำหรับการให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถลงทุนในแต่ละเดือนในสัดส่วนที่สูงกว่านายจ้างนั้น ปัจจุบันเกณฑ์เปิดให้ทำแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของแต่ละบริษัทจะเปิดให้ทำเมื่อไร
 
นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน ก.ล.ต.อยู่ระหว่างแก้ไขกฎเกณฑ์การลงทุนของกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีความทันสมัย มีความเป็นสากลและลงทุนได้กว้างขึ้น คาดว่าภายในปีนี้น่าจะเห็น
 
 
สศอ.ระบุตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.หดตัว 8.3% อุตสาหกรรมยานยนต์ยังขยายตัวได้ดี
 
นายณัฐพล รังสิตพล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนส.ค.หดตัวร้อยละ8.3 แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงขยายตัวได้ดี ในระดับ 2 หลักที่ ร้อยละ13.3 ส่วนอุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง เช่น โทรทัศน์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ โดยภาพการผลิตของประเทศในเอเชียในช่วงปี 2557 และ 2558 ที่ผ่านมายังมีทิศทางเปราะบางแม้แต่ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็ยังขยายตัวในระดับต่ำ ขณะที่ ไทย เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีMPI ติดลบในบางช่วง
 
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ ที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า แต่ตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำแท่งในเดือนส.8. 2558 หดตัวร้อยละ 8.2  เพราะการลดลงของการส่งออกสินค้าที่มีราคาเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการปรับตัวลดลง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์  ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์  มีจำนวนผลิต 159,470 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.26  จำหน่ายในประเทศ  61,991 คัน ลดลงร้อยละ 9.94  และส่งออกม 101,982 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.88 
 
สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลดลงร้อยละ 25.06 จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากความต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กในตลาดโลกลดลง และผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา รวมถึงตลาดส่งออกหลักยังไม่ฟื้นตัว 
 
นายณัฐพล กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กพบว่าการบริโภคเหล็กในเดือนสิงหาคม มีปริมาณ 1.43 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 8.92  จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การผลิตมีปริมาณ 0.57 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 14.93 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวทำให้กำลังซื้อลดลง และผลกระทบจากราคาเหล็กในตลาดโลกลดลง
 
ขณะที่อุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตเส้นใยสิ่งทอผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 1.89,9.60 และ3.02 ตามลำดับ เนื่องจากการคำสั่งซื้อต่างประเทศเนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าดังกล่าว
 
 
ครม.ไฟเขียว เพิ่มข้าราชการใหม่ 1.3 หมื่นอัตรา สธ.นำโด่ง ขอบรรจุใหม่เกือบหมื่นราย ด้านกรมราชทัณฑ์ได้แค่ 1.7 พัน จากที่ขอมา 3.7 พันอัตรา
 
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ครม.เห็นชอบการเพิ่มอัตราข้าราชการที่ตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในปีงบประมาณ 2558 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังพลภาครัฐ(คปร.)เสนอ จำนวน 13,280 อัตรา ประกอบด้วย 1.กระทรวงมหาดไทย 1,000 อัตรา 2.กระทรวงยุติธรรมขอมาใน 2 หน่วยงาน คือกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีการก่อสร้างเรือนจำใหม่ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ซึ่งได้รับอนุมัติ  1,794 อัตรา  จากที่ขอมา 3,767 อัตรา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) 343 อัตรา 3.กระทรวงการต่างประเทศ 7 อัตรา 4.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ 143 อัตรา จากที่ขอมา 654 อัตรา และ 5.กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขอมามากที่สุด 9,863 อัตรา และได้รับการอนุมัติทั้งหมด โดยทั้งหมดเป็นอัตราการบรรจุพยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุขที่จะให้บริการด้านสุขภาพต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น 
 
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานเดียวที่ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งหมดในการบริหารงาน เนื่องจากสามารถมีรายได้เป็นของตัวเองในบางส่วน เช่น งบประมาณส่วนหนึ่งที่ได้จากการรักษาพยาบาล จึงสามารถใช้งบประมาณจำนวนหนึ่ง จ้างบุคลากรแพทย์ และพยาบาลได้เอง 
 
“ทั้งนี้ข้าราชการหนึ่งคนต้องใช้งบประมาณถึง 25 ล้านบาท การเพิ่มข้าราชการจำนวนมาก โดยการแปรสภาพจากลูกจ้าง พนักงาน เป็นข้าราชการนั้น ขอให้ทุกส่วนราชการได้พึงสังวร และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะอย่างในอดีตขึ้นอีก แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องขอบรรจุข้าราชการปีหนึ่ง 200-300 อัตรา ก็ว่ากันไปเป็นปี ๆ แต่ไม่ต้องการให้มีลักษณะอย่างที่กล่าวมาข้างต้นขึ้นอีก เพราะไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อประเทศในภาพรวม”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net