TDRI : การลดค่าเงินหยวนกับตลาดหุ้นจีน

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

การลดค่าเงินหยวนของธนาคารกลางจีนเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก่อให้เกิดข้อถกเถียงและคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายถึงที่มาที่ไปของมาตรการนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านพุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นที่เริ่มสะดุดของจีนว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการลดค่าเงินในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปถึงพัฒนาการของตลาดหุ้นจีนในปีนี้และวิเคราะห์ให้ลึกยิ่งขึ้นจะพบว่าการลดค่าเงินหยวนเป็นมาตรการสำคัญที่ทางการจีนอาจนำมาใช้เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นที่ผันผวนและมีแนวโน้มดิ่งลงในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้

ผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่าการลดค่าเงินกับตลาดหุ้นนั้นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าเงินที่ลดลง (เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเช่นเหรียญสหรัฐอเมริกา) ไม่ว่าจะด้วยมาตรการของทางการหรือกลไกตลาดมักจะสัมพันธ์กับดัชนีราคาตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าจากค่าเงินที่ลดหรืออ่อนตัวลงมักจะมุ่งหน้าไปที่ตลาดหุ้น (อันเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูงที่ซื้อขายได้ง่าย) เป็นอันดับแรก  ในกรณีของไทย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับดัชนีตลาดหุ้นรายเดือนในช่วงปี 2544 จนถึงปัจจุบันนั้นสูงถึง -0.76  เครื่องหมายลบดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้าม กล่าวง่ายๆ คือในช่วงดังกล่าว ค่าเงินบาทที่ลดลง (สูงขึ้น) สัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้นที่สูงขึ้น (ลดลง) อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์นั้นเป็นเพียงตัวชี้ถึงความสัมพันธ์และมิได้บ่งถึงว่าปัจจัยใดเป็นตัวกำหนด นั่นหมายความว่าดัชนีตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นอาจมิได้เป็นผลมาจากค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกกรณีแต่อาจมีผลจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย

ในส่วนของตลาดหุ้นจีน ท่านผู้อ่านที่ติดตามความเคลื่อนไหวและพัฒนาการของตลาดหุ้นจีนที่สำคัญสองตลาดคือตลาดเซี่ยงไฮ้และตลาดเสิ่นเจิ้นจะพบว่าในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นทั้งสองอยู่ในภาวะกระทิง (bull market) ที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอยู่ที่ 5,166 และ 3,141 ในวันที่ 12 มิถุนายน ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 259 และ 157 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการต่างๆ ของทางการจีนที่หวังว่าตลาดหุ้นจะช่วยพยุงเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลงและไม่เป็นไปตามเป้า ขณะที่ผลโดยอ้อมคือหวังที่จะลดภาระหนี้ของบรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลายผ่านมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นในตลาด  มาตรการกระตุ้นตลาดที่สำคัญและได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากคือการอนุญาตให้นักลงทุนกู้ยืมเงินไปซื้อหุ้น (margin financing) ซึ่งมีมูลค่า ณ เวลาที่ตลาดขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 3.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน

หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดหุ้นทั้งสองกลับปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องแรงบ้างเบาบ้างจนเข้าสู่ภาวะหมี (bear market) ที่ดัชนีดิ่งลงมากกว่าร้อยละ 20 จากจุดสูงสุดในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ สาเหตุสำคัญของการปรับตัวลดลงรุนแรงนี้น่าจะมาจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่เห็นว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นมิได้สะท้อนถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มชะลอตัวลงในปีนี้  ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนกลับมองว่าดัชนีที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นของทางการจีนตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

หลังจากที่ตลาดหุ้นทั้งสองเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางการจีนโดยเฉพาะธนาคารกลางก็ได้เริ่มออกมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นและระงับการปรับตัวลดลงของดัชนีราคาหุ้นไม่ว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ การยกเลิกข้อห้ามการออกหุ้นใหม่ และการห้ามรัฐวิสาหกิจขายหุ้นที่มีอยู่ในตลาด อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวมิได้ส่งผลดีต่อตลาดเท่าใดนัก ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวลดลง ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีของจีนต้องออกมาสั่งการให้ทุกฝ่ายหาทางช่วยเหลือโดยด่วน ด้วยเหตุที่เกรงว่าผลจากตลาดหุ้นจะส่งผลเสียไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิง

ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หลังจากที่ธนาคารกลางจีนลดค่าเงินหยวนในวันที่ 11 สิงหาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้นก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ดัชนีตลาดหุ้นทั้งสองก็ปรับลดและมีแนวโน้มลดลงเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ (วันที่ 20 กันยายน) นั่นหมายความว่าการลดค่าเงินหยวนมิได้ช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นเท่าใดนัก  ทางการจีนมองว่าการปรับตัวลดลงของดัชนีทั้งสองเป็นการปรับสมดุลของตลาดหุ้นที่มีขนาดรวมกันใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสหรัฐฯ ระดับของค่าดัชนีในปัจจุบันนั้นตกไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อต้นปี

ประเด็นที่น่าสนใจต่อไปคือทางการจีนจะยอมแพ้ต่อความพยายามในการกระตุ้นตลาดหุ้นอันเป็นความหวังสุดท้ายที่จะประคับประคองเศรษฐกิจของตนหรือไม่ ขณะที่ตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรเอกชนที่กำลังเติบโตอยู่ในขณะนี้เป็นอีกตลาดหนึ่งที่น่าจับตา ด้วยเหตุที่ว่านักลงทุนได้เบนความสนใจออกไปจากตลาดหุ้นและความร้อนแรงในตลาดตราสารหนี้จะซ้ำรอยตลาดหุ้นหรือไม่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท