Skip to main content
sharethis

เรียกร้องรัฐบาล

ชาวสวนปาล์ม-ยางพาราชุมนุมใหญ่ ยื่นเรียกร้อง 11 ข้อถึงนายก

15 ก.ย. 2558 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่หอประชุมเมืองนครศรีธรรมราช ทุ่งท่าลาด อ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้มีกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มชุมนุมสหกรณ์ปาล์มจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย จากทั่วภาคใต้ทยอยเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมชุมนุม หลังจากที่ได้มีการนัดหมายของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันจากทั่วภาคใต้มาร่วมชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลรับซื้อผลปาล์มน้ำมันตามราคาที่ประกาศไว้ กก.ละ 4.20 บาท

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายสมพร ศรีเพชร นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัดนครศรีธรรมราช และแกนนำได้ไปไว้แจ้งกับทางสภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อขออนุญาตจัดชุมนุมตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฉบับใหม่ ว่า ระหว่างเวลา 08.30-18.00 น.ของวันที่ 15 ก.ย.นี้ ชาวสวนปาล์มจะเดินทางมาชุมนุมกัน ในวันนี้จึงมีทั้งกำลังตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงมาร่วมรักษาความสงบ

ส่วนบรรยากาศ บนเวทีบรรดาแกนนำได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นแสดงความคิดอย่างกว้างขวาง จนช่วงบ่ายจึงได้สรุปข้อเรียกร้องจำนวน 11 ข้อ ส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีมติในที่ประชุมของกลุ่มเกษตรกรสวนปาล์มน้ำมันและยางพารา 14 จังหวัดภาคใต้ ดังนี้

1. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเข้ามาดูแลและชดเชยส่วนต่าง หากราคาน้ำมันปาล์มน้ำมันในตลาดต่ำกว่าทุนซึ่งอยู่ที่ กก.ละ 3.38 บาท โดยให้กระทรวงเกษตรชดเชยส่วนต่างโดยตรงแก่เกษตรกรตามมติที่ประชุมที่กำหนดราคาต้นทุน

2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรฯ เปิดโอกาสให้ตัวแทนเกษตรกรและกลุ่มลานเทเข้าร่วมเป็นกรรมการปาล์มน้ำมันฯเพื่อร่วมแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันในจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 คน

3. ให้ภาครัฐลดต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมันให้แก่เกษตรกรโดยการเข้าควบคุมราคาตั้งแต่ราคาเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าพันธุ์ อุปกรณ์การผลิต ราคาปุ๋ย ไม่ให้สูงเกินจริงเพราะปาล์มน้ำมันเป็นพืชควบคุม

4. ให้ยกเลิกการซื้อขายโดยการกำหนดเปอร์เซ็นต์ โดยให้ใช้มาตรฐานปาล์มสุก สดเป็นมาตรฐาน ตามมาตรฐานสินค้าเกษตร

5. ให้มีการควบคุมการนำเข้าน้ำมันปาล์ม เมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าน้ำมันที่ไม่ถูกกฎหมายอย่างเคร่งครัด

6. ให้มีการผลักดัน พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันโดยเร่งด่วน

7. ให้สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างโรงงานหีบน้ำมันปาล์มดิบให้แก่สถาบันเกษตรกรอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง

8. ให้รัฐบาลเร่งชดเชยส่วนต่างราคายางพาราตามมติที่สมัชชาสถาบันเกษตรกรโดยองค์กรฯ ที่ได้เสนอไปแล้วโดยทันที

9. ให้รัฐบาลเร่งบังคับใช้นโยบายในการใช้ประโยชน์ยางพาราในประเทศให้มากที่สุดตามมติเกษตรกรฯ ที่ได้เสนอมาโดยตลอด

10. ให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายหลักเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชเสริมรายได้ สัตว์เลี้ยงร่วมยางสร้างความเข้มแข็งในสวนยาง-ปาล์ม เพื่อแก้ปัญหาความยากจนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

11. ให้รัฐบาลหยุดยุทธการทวงคืนผืนป่ากับคนยากไร้และให้เร่งจัดการปฏิรูปที่ดินทำกินให้แก่คนจน

อย่างไรก็ตาม ทางแกนนำผู้ชุมนุมได้รอนายอำนวย ปะติเส ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เดินทางมารับหนังสือข้อเรียกร้องทั้ง 11 ข้อ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป และจะสลายตัวในเวลา 18.00 น. วันเดียวกัน

ชาวบ้านเขตรอยต่อ 3 จังหวัดรอบเหมืองแร่ทองคำ 200 คน ชุมนุมแสดงพลังคัดค้านนโยบายเหมืองแร่ทองคำ เตรียมยื่น 2 หมื่นรายชื่อคัดค้านกับนายก

17 ก.ย. 2558 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าที่วัดเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ชาวบ้านเขตรอยต่อ 3 จังหวัด รอบเหมืองทอง คือ จังหวัดพิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และแกนนำจากจังหวัดสระบุรี จำนวน 200 คน ชุมนุมถือป้าย แสดงพลังร่วมกันคัดค้านนโยบายเหมืองแร่ทองคำ โดยมีแกนนำกลุ่มชาวบ้าน ร่วมพูดคุยกับแนวทางการดำเนินการการคัดค้านการประกอบการเหมืองแร่ทองคำ และนโยบายเหมืองแร่ทองคำ

โดยทางกลุ่มตัวแทนชาวบ้าน ได้พูดคุย ได้แสดงมติและจุดยืน ในการร่วมกันต่อสู้ กับการคัดค้านนโยบายแร่ทองคำ กับชาวบ้านพร้อมทั้งออกเคลื่อนขบวนรถยนต์ กว่า 20 คัน พร้อมกับชาวบ้าน ป้ายคัดค้าน ไปยังถนนรอบเขตเหมืองแร่ทองคำ ที่ตำบลตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร เพื่อแสดงพลังและจุดยืนการคัดค้าน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองจังหวัดพิจิตร อำนวยความสะดวกของกลุ่มชาวบ้าน เป็นไปด้วยความสงบ

นางอารมณ์ คำจริง ตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน กล่าวว่า ชาวบ้านเขตรอยต่อ 3 จังหวัด รอบเหมืองทอง ได้ออกมาแสดงพลัง เพื่อร่วมการคัดค้านนโยบายเหมืองแร่ทองคำที่เลื่อนเวทีการแสดงความคิดเห็นออกไป เนื่องจากหากมีการร่างนโยบายเหมืองแร่จะส่งผลทำให้ชาวบ้าน ในรอบพื้นที่เหมืองทอง ทั้งในจังหวัดพิจิตร และ อีก 12 จังหวัด ที่มีอาชญาบัตรในการสำรวจแร่ทองคำ ซึ่งชาวบ้านมองว่าจะได้รับผลกระทบมากขึ้น และ ขอให้ รัฐบาลพิจารณา ว่า สินแร่ทองคำ ควรจะอยู่ในแผ่นดินเป็นสมบัติของชาติและไม่ควรนำขึ้นมา เพื่อประโยชน์กลุ่มธุรกิจต่างชาติ

โดยกลุ่มชาวบ้านมีมติ ที่จะร่วมเดินทางนำรายชื่อ 2 หมื่นรายชื่อ ที่คัดค้านนโยบายเหมืองแร่ ล่าสุดรายชื่อของชาวบ้าน ในเขตเขตรอยต่อ 3 จังหวัด รอบเหมืองทองและกลุ่ม12 จังหวัด ที่มีอาชญาบัตรพิเศษแร่ทองคำ ได้รายชื่อจำนวนกว่า 18,000 รายชื่อ ซึ่งเหลือเพียง อีก 2,000 รายชื่อ จะครบ และ จะเดินทางยื่นให้กับรวบรวมไปยื่นให้กับนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 22 กันยายน 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล

 

โครงการภาครัฐ

2 ตำบล แสดงจุดยืนชูป้ายค้าน ถนนลอยฟ้า สายปากน้ำ-มหาชัย

16 ก.ย. 2558 Nation TV รายงานว่าเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 ที่ อบต.โคกขาม จ.สมุทรสาคร นายเลอพงษ์ จั่นทอง ประธานสหกรณ์กรุงเทพ จำกัด (สหกรณ์เกลือโคกขาม) ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายวิชา นรังสี ประธานมูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำไทย และฐานะแกนนำชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ได้นัดรวมตัวพร้อมชูป้ายประท้วงกรณีไม่เห็นด้วย กับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีถนนเชื่อมต่อบริเวณพระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มาเชื่อมยัง จ.สมุทรสาคร และราชบุรี ของกรมทางหลวงชนบท ที่บริเวณหน้าที่ทำการ อบต.โคกขาม

โดยในขณะภายใน อบต.กำลังมีการจัดเวที เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงขั้นตอนของบริษัทตัวแทนทางหลวงชนบท ทำการออกสำรวจแนวคิดเห็นถึงผลกระทบของผู้คนในพื้นที่แถบเส้นทางโครงการถนนยกระดับ ที่จะพาดผ่านบริเวณชายฝั่งทะเล โดยมีผู้ที่ประกอบอาชีพ อาทิ ทำนาเกลือ ประมงพื้นบ้าน และทำวังบ่อเลี้ยงกุ้งหอยปูปลา เป็นต้น

นายเลอพงษ์ ประธานนิคมสหกรณ์เกลือโคกขาม ฐานะแกนนำ เผยว่า สาเหตุที่มีการนัดรวมตัวไม่มีอะไรมาก แค่ออกมาชูป้ายคัดค้านการก่อสร้างของโครงการถนนยกระดับลอยฟ้าปากน้ำ-มหาชัย เท่านั้น เพื่อให้รู้จุดยืนที่ไม่เห็นด้วย และเคยคัดค้านตั้งแต่มีเวทีครั้งก่อนๆ เนื่องจากชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยกันมานาน จะได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ หากมีเส้นทางโครงการยกระดับที่จะพาดผ่านเข้าบริเวณชายฝั่งทะเล ย่อมมีอาชีพดั่งเดิม อาทิ ทำนาเกลือ ประมงพื้นบ้าน ทั้งผู้ทำวังกุ้งเลี้ยง หอย ปู ปลา เป็นอาชีพเก่าแก่ของประเทศนั้น จะเดือดร้อนจากผลกระทบได้ในอนาคตอย่างแน่นอนต่อไปนายเลอพงษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ สำหรับเวทีเช่นเดียวกันนี้ ของวันของรุ่งขึ้นที่จะมีในวันที่ 17 ก.ย. ที่ อบต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมืองฯ พื้นที่ติดกันนี้ ทางกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม และชาวบ้าน ก็จะไปแสดงสัญลักษณ์ด้วยการชูป้ายต่อต้านเหมือนกันเพื่อแสดงเป็นจุดยืนประท้วงปัญหาดังกล่าวด้วยด้านกลุ่มตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาฐานะโครงการสำรวจฯดังกล่าวของกรมทางหลวงชนบท เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนไปทำการก่อสร้างในอนาคต ระบุว่า ช่วงนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจความแนวความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งถือว่าได้รับมอบหมายมาให้ปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ได้รับมอบหมายมารายงานเท่านั้น  จึงขอไม่มีความเห็นใด ๆ

 

กระบวนการยุติธรรม

ปลัดเมืองเก่าเบรกชาวบ้านแห่ศพประท้วง ญาติกังขาจับกุมคดีค้ายา แถมตายมีเงื่อนงำอีก

17 ก.ย. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น. นายเรวัต ประสงค์ ปลัดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย นายอนุกูล เรือนแก้ว นายอำเภอภาชี รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และทหารจากกองพันทหารม้าที่ 17 รักษาพระองค์ เดินทางไปยังศาลาสวดพระอภิธรรมศพ วัดพระญาติสามัคคีธรรม ตำบลโคกม่วง อำเภอภาชี หลังจากที่ญาติของนายประสงค์ สิงหา ผู้เสียชีวิต พยายามจะนำศพใส่โลงและบรรทุกบนรถยนต์ เพื่อแห่ไปตามถนนจากอำเภอภาชี มุ่งหน้ามาที่ศาลากลางจังหวัด  เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรม หลังญาติสงสัยสาเหตุการเสียชีวิต ว่าไม่ได้เกิดจากการผูกคอตายเองในห้องขัง แต่อาจเป็นการฆาตกรรม

นางอัศนีย์ สถิตพงษา ภรรยาของนายประสงค์ ผู้เสียชีวิตอ้างว่า สามีไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่มาถูกจับกุมในคดียาเสพติด เมื่อช่วงเวลา 03.00 น.ของวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา  โดยถูกจับกุมที่บ้านพักเลขที่ 14/1 หมู่ที่ 9 ตำบลโคกม่วง และนำตัวมาควบคุมที่ห้องขังสถานีตำรวจภูธรภาชี จนกระทั่งเช้าวันที่ 12 กันยายน พบว่าสามีของตนเองเสียชีวิต

ด้านตำรวจแจ้งว่า นายประสงค์เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขังด้วยเชือกผูกรองเท้า ในขณะที่ในห้องมีผู้ถูกคุมขังร่วมด้วยอีก 2 คน แต่เมื่อส่งศพไป โรงพยาบาลธรรมศาสตร์รังสิต แพทย์แจ้งว่า หัวกะโหลกร้าว กรามหัก และซี่โครงหักอีก 2 ซี่  ซึ่งตนเองยังไม่ได้กล่าวหาว่าใครเป็นคนฆ่า และไม่ต้องการให้ตำรวจสรุปว่าเป็นการผูกคอตาย โดยอยากให้มีการตรวจสอบถึงสาเหตุการตายที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ทางปลัดจังหวัด ได้ร้องขอว่าอย่าให้มีการแห่ศพประท้วงและจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งทางญาติผู้เสียชีวิตยอมทำตาม ยุติการแห่ศพประท้วง และจะรอดูคำตอบจากตำรวจและฝ่ายปกครอง ว่าจะดำเนินการพิสูจน์หาข้อเท็จจริงอย่างไร

 

คุณภาพชีวิต

โวย รง.ยางส่งกลิ่น ไล่ไปอยู่นอกชุมชน

14 ก.ย. 2558 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 ก.ย. ชาวบ้านหมู่2 ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา กว่า 70 คน ได้รวมตัวกันที่ลานขนถ่ายเศษยางพาราหรือขี้ยาง บริเวณถนนสายประปา ตรงข้ามค่าย ตชด. ธนพัฒน์ 437 หลังจากเดือดร้อนส่งกลิ่นรบกวนจนชาวบ้านไม่เป็นอันหลับนอน จากนั้นกลุ่มชาวบ้านได้ไปร้องเรียนนายทวีวุฒิ สังข์ศิริ นายอำเภอสะเดา และเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลสำนักขาม ให้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อมานายทวีวุฒิ พร้อมด้วย จนท.เทศบาลตำบลสำนักขาม ตัวแทนชาวบ้านและผู้ประกอบการร่วมประชุมที่สำนักงานเทศบาลตำบลสำนักขาม เพื่อหาข้อยุติ ที่ประชุมได้ยืดเวลาให้ผู้ประกอบการหาทางเคลื่อนย้ายออกไปภายในเวลา 30 วัน โดยเทศบาลจะตรวจสอบว่ากิจการใดที่ก่อให้เกิดอันตรายมลภาวะต่อสุขภาพว่ามีใบอนุญาตหรือไม่ แต่ต้องให้โอกาสเจ้าของกิจการยื่นอุทธรณ์ พร้อมประสาน สนง.สิ่งแวดล้อมที่ 16 สงขลา มาตรวจสอบว่ามีมลพิษหรือไม่

นายวีระศักดิ์ สงวนสิน ตัวแทนชาวบ้านเปิดเผยว่า ขอเรียกร้องไปยังผู้ประกอบการ 3 ข้อคือ 1.ยุติการดำเนินการขนถ่ายเศษยางพาราสดโดยทันที 2. ให้ย้ายกิจการห่างจากชุมชนไม่น้อยกว่า 5 กม.3.ห้ามไม่ให้โรงงานหรือกิจการใดๆที่มีมลภาวะอยู่ในตัวเมืองอย่างเด็ดขาด พร้อมกับขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน เพราะนอกจากจะส่งผลต่อมลภาวะทางอากาศแล้ว รถขนเศษยางยังทำให้ถนนชำรุดเสียหาย สร้างฝุ่นละอองแก่บ้านเมือง

ขณะที่นายเอกชัย ด้วงชาย ตัวแทนผู้ประกอบการชี้แจงว่า ได้ประกอบกิจการขนถ่ายเศษยางพาราส่งไปประเทศมาเลเซียมานานแล้ว ก่อนหน้านี้บริเวณนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยและอยู่ห่างไกลจากชุมชน แต่ปัจจุบันชุมชนบ้านด่านนอกหมู่ที่ 2 ได้ขยายตัว มีหมู่บ้านสร้างขึ้นรอบๆโกดังเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีบ้านเรือนค่อนข้างหนาแน่น แต่ในซอยที่อยู่ใกล้กับโกดังมีเพียงไม่กี่หลังที่ได้รับผลกระทบ กลายเป็นว่าชุมชนมารุกไล่ผู้ประกอบการที่เข้ามาอยู่ก่อน แต่ก็พร้อมที่จะหาทางออกร่วมกันเพื่อชุมชน

ผู้ประกอบการรถ 30 รุกทวงคำตอบผู้ว่าฯ ภูเก็ต ถูกรถบัสต่างถิ่นบุก

15 ก.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า (15 ก.ย.) เวลา 13.00 น. ทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้นัดให้ตัวแทนมาพบ แต่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดติดราชการด่วนที่กรุงเทพมหานคร จึงให้ นายภาคภูมิ อินทรสุวรรณ ปลัดจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายประเจียด อักษรธรรมกุล หัวหน้าสำนักงานจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนขนส่งจังหวัดภูเก็ต ตัวแทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมกับผู้ประกอบการในครั้งนี้      

โดยผู้ประกอบการได้นำป้ายมายืนอยู่ประท้วงหน้าศาลากลางภูเก็ต ซึ่งมีข้อความ “หยุดนายทุนนอมินี” “เรารู้นายทุน! คุณจะมาจดทะเบียนบ้านเรา เราไม่เอา ถ้าคุณมาเราเผา (พริกกับเกลือ)” “ผู้ว่าฯ ภูเก็ตช่วยที นายทุนนอกพื้นที่มาแย่งอาชีพคนท้องถิ่นหมดแล้ว”    

นายชนวีร์ เอกเตี๋ยวสกุล ประธานชมรมรถบัสป้าย 30 จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการรถบัสป้าย 30 ซึ่งให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมาเป็นเวลานาน โดยมีรถของสมาชิกชมรมประมาณ 100 ราย และมีรถในสังกัดมากถึงประมาณ 700 คัน จึงคิดว่าน่าจะเพียงพอในการให้บริการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต แต่มีข้อมูลว่า กลุ่มนายทุนที่ประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกรายใหญ่ ต้องการนำรถประมาณ 200 คัน เข้ามาให้บริการในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จึงได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือคัดค้านในครั้งนี้  

นายชนวีร์ กล่าวต่ออีกว่า ผู้ประกอบการรถบัสป้าย 30 ในปัจจุบันได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มนายทุนนอกพื้นที่ที่สนับสนุนจัดรถโดยสารใหม่จากต่างจังหวัดมาให้บริการรองรับธุรกิจของตัวเองมากถึงประมาณ 200 คัน ทำให้รถในพื้นที่ว่างงาน และไม่มีงาน ซึ่งสาเหตุคือ นายทุนไม่ได้ต้องการผลกำไรจากการประกอบการเดินรถ แต่เพียงต้องการให้นำนักท่องไปยังสถานประกอบการที่ให้บริการสินค้าของที่ระลึก หรือการแสดงโชว์ซึ่งทำแบบนี้ให้กำไรมากกว่านี้      

อย่างไรก็ตาม ได้มีการประชุมหารือเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งในวันนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน ซึ่งที่ประชุมได้มีการนัดหารือร่วมกันทุกฝ่ายอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2558 นี้

ชาวบ้านหลายจังหวัดทั้งพิษณุโลก พิจิตร สระบุรี รวมตัวขึ้นรถติดป้ายต้านเหมืองทอง แห่รอบ “เหมืองทองอัคราฯ” แสดงจุดยืนไม่เอาเหมือง

17 ก.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า วันนี้ (17 ก.ย.) นายณัฐพงษ์ แก้วนวล พร้อมด้วยกลุ่มผู้คัดค้านเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ประมาณ 150 คน ได้เดินทางไปรวมตัวกับกลุ่มผู้คัดค้านเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งนำโดยนางอารมย์ คำจริง จาก จ.พิษณุโลก, นางสาวสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง จาก จ.พิจิตร, นางวันเพ็ญ คมรังสรรค์-นางรำพึง ดอนประดู่ จาก จ.สระบุรี  

จากนั้นทางกลุ่มฯ ได้ใช้รถยนต์กระบะจำนวน 5 คัน ติดป้ายต่อต้านฯ นำขบวนรถอีกกว่า 30 คันขับผ่านโรงงานเหมืองแร่ทองคำ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (ชื่อเดิม อัครา ไมนิ่ง จำกัด) ที่บริเวณ ม.9 บ.เขาหม้อ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ก่อนที่จะแยกย้ายกลับภูมิลำเนาในเวลาต่อมา    

โดยมีนายสกล แก้วปวงคำ นายอำเภอวังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์, เจ้าหน้าที่ทหาร ป.พัน.30, อาสาสมัครจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าร่วมสังเกตการณ์และเฝ้าระวังการก่อเหตุความไม่สงบ

ชาวบ้างวังตีอก เดินหน้าค้านการก่อสร้างฟาร์มหมูในพื้นที่

18 ก.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าคืบหน้ากรณีที่ชาวบ้านวังตีอก หมู่ 13 ตำบลสระขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ภายใต้การนำของ นายฉัตรมงคล ขันนิล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้พากันเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนเพื่อคัดค้านการก่อสร้างฟาร์มหมูในพื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งปัญหาเรื่องกลิ่น และแมลงวันรบกวนโดยได้มีการปักป้ายป้ายคัดค้านการก่อสร้างฟาร์มหมู บริเวณทางเข้าหมู่บ้านเพื่อเรียกร้องขอค่าชดเชยให้แก่ชาวบ้านหลังคาเรือนละ 30 ล้านบาท จึงจะยอมย้ายบ้านหนีฟาร์มหมูดังกล่าว     

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย. นายฉัตรมงคล ขันนิล ได้เดินทางไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมือง เพื่อรับฟังคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าสมควรให้มีการก่อสร้างฟาร์มหมูในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่า ยังไม่ได้สรุปผลที่แน่ชัด และให้ชาวบ้านรอคำตอบในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ นายฉัตรมงคล กล่าวว่า หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อสรุปให้ฟาร์มหมูดำเนินการก่อสร้างได้ ตนและชาวบ้านก็จะรวมตัวประท้วงอย่างถึงที่สุด

ร้องเทศมนตรี บริษัทรีไซเคิล และหลอมโลหะ มีการเดินเครื่องจักรอีกครั้งเกรงว่าจะส่งผลทำลายสภาพแวดล้อม หลังชาวบ้านประท้วงก่อนหน้านี้

18 ก.ย. 2558 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่าเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 18 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า บริษัทซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 108 หมู่ 2 ต.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ประกอบกิจการรีไซเคิล และหลอมโลหะ มีการเดินเครื่องจักรอีกครั้งเกรงว่าจะส่งผลทำลายสภาพแวดล้อม จึงได้เข้าไปร้องเรียนต่อนายกเทศมนตรีตำบลลาดบัวหลวงให้ตรวจสอบ สืบเนื่องมาจากในวันที่ 25 พ.ย.2556 ได้มีชาวบ้านจากต.สามเมือง และ ต.ลาดบัวหลวง อ.ลาดบัวหลวง กว่า 500 คน รวมตัวถือป้ายประท้วงที่ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังไม่พอใจที่โรงงานรีไซเคิลและหลอมโลหะของบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จํากัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนของนักธุรกิจชาวจีน ได้สร้างปัญหามลพิษและทำลายสภาพแวดล้อม รวมถึงกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ในขณะนั้นมีนายมานพ สุขสุศรี แกนนำชาวบ้านนำชาวบ้านมาร้องเรียนจนมีข้อตกลงร่วมกันว่า โรงงานจะหยุดดำเนินการชั่วคราวเพื่อปรับปรุง และทุกภาคส่วนจะเข้ามาตรวจสอบ แต่ปัจจุบันโรงงานกลับไม่สนใจข้อตกลง และเปิดดำเนินกิจการทุกวัน

ด.ต.ลพ บุตรดี นายกเทศมนตรีตำบลลาดบัวหลวง ได้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมานายเสถียร ผ่งหอม ได้เข้าร้องเรียนกับตนอีกครั้งเนื่องจากเห็นว่าทางบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัด ได้เริ่มดำเนินการใหม่อีก ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ไปร้องเรียนที่ศาลากลาง จ.พระนครศรีอยุธยา และได้ไปยื่นหนังสือถึงศาลปกครองไม่ให้บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัดทำการผลิตหรือทำกิจการประกอบถ่านโค้กหรือหลอมโลหะอีกต่อไป ศาลปกครองจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทันที ก่อนเห็นว่าเป็นอำนาจของสำนักงานอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา จึงมีคำสั่งยกเลิกการคุ้มครองชั่วคราว โดยสั่งการให้สำนักงานอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ และได้ออกหนังสือ ที่ อย 0033 (3)/1990 จากสำนักงานอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา เรื่องให้ปรับปรุงแก้ไขโรงงาน ลงวันที่ 26 ส.ค.58 แจ้งมายังบริษัทซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัด ให้รับทราบแล้ว และขณะนี้ทางสำนักงานอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา ได้อนุญาตให้ทางบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัด ได้ทดลองประกอบกิจการไปก่อนชั่วคราว แต่ถ้าหากมีผลกระทบเกิดขึ้นอีกก็จะสั่งให้หยุดการผลิตทันที

ด้าน น.ส.อังสนา สุขวิทยา อายุ 35 ปี ตำแหน่งมาร์เก็ตติ้ง ของบริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทตอนนี้ยังไม่ได้ทำการผลิตอะไรเลย แต่อยู่ในช่วงการทดลองเครื่องจักรเท่านั้น ทั้งนี้ทางบริษัทจะทำตามที่ทางสำนักงานอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา สั่งมาอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะได้ใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (การหลอม) จากทางเทศบาลตำบลลาดบัวหลวงต่อไป

ส่วนนายสุรศักดิ์ เฉลิมเกียรติทวี ตำแหน่ง อุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า โรงงานดังกล่าวถูกชาวบ้านร้องเรียนเรื่องกลิ่นเหม็นมานานแล้ว ได้มีการลงไปตรวจสอบ พบว่ามีกลิ่นเหม็นจริง จึงสั่งให้หยุดการทำงานและให้ทดลองทดสอบขบวนการผลิตเพื่อหาสาเหตุของกลิ่นเหม็นมาแล้ว 7 ครั้งว่าสารประกอบตัวใดทำให้มีกลิ่นเหม็นและจะได้หาวิธีแก้ไขต่อไป

 

การศึกษา

ฮือถือป้ายไล่ ผอ.โรงเรียน ชี้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่เหมาะสม

14 ก.ย. 2558 ไทยรัฐออนไลน์ร ายงานว่าผู้ปกครองร่วมกับผญบ.ถือป้ายไล่ ผอ.โรงเรียนและครูผู้สอนที่หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยกล่าวหาผอ.มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่เหมาะสม และอื่นๆ ส่วนครูถูกหาว่าลงโทษเด็กเกินกว่าเหตุ ผอ.เขตฯ ต้องให้ตัวแทนมาเจรจารับปากตั้ง กก.สอบให้รู้ผลภายใน 30 วัน...

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 14 ก.ย.58 ที่โรงเรียนผาแดงวิทยาคม หมู่ 5 ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ นายณรงค์ หมวกชา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 ต.ปากช่อง พร้อมผู้ปกครองนักเรียนรวมตัวกันประมาณ 50 คน ถือแผ่นป้ายประท้วงขับไล่ นายไพโรจน์ ทองเพ็ง ผอ.โรงเรียนผาแดงวิทยาคม และนายปรเมศ ดีบุญโน ครูผู้สอน โดยกล่าวหาว่านายไพโรจน์ ผอ.โรงเรียน มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่เหมาะสม, ไม่จัดรถรับส่งนักเรียนฟรีตามที่แจ้งไว้, ไม่ทำประกันชีวิตให้นักเรียนเหมือนปีที่ผ่านมา, ทำให้เกิดความแตกแยกในคณะครูผู้สอน และกล่าวหานายปรเมศว่า ลงโทษเด็กเกินกว่าเหตุ พร้อมสำทับว่าหากผอ.ไม่มาชี้แจงก็อาจมีการนัดหยุดเรียน

ต่อมา นายธานี ชาติพัฒน์ ผอ.กลุ่มพัฒนาบุคคล สนง.มัธยมศึกษาเขต 40 เป็นตัวแทนผอ.เขตฯ เข้ารับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ประท้วง และนำแกนนำเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือ

ที่ห้องประชุมของโรงเรียน นายปรเมศ ได้ชี้แจงว่าไม่ได้ลงโทษนักเรียนรุนแรงแต่อย่างใด มีเพียงการขยุ้มศีรษะเพื่อตักเตือนเท่านั้น ส่วนนายไพโรจน์ ผอ.โรงเรียนไปรับรางวัล โรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงที่ จ.เชียงใหม่ จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุม

นร.วัฒโนทัยพายัพเชียงใหม่ฮือขับไล่ผอ.ร.ร.บริหารงานไม่โปร่งใส สพฐ.สั่งตั้งกรรมการสอบ

16 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ก.ย. ที่โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ เชียงใหม่ นำโดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 6 จำนวน 1,000 คน รวมกลุ่มประท้วงเพื่อขับไล่ผู้อำนวยการโรงเรียน บริเวณสนามหญ้าหน้าโรงเรียน เนื่องจากไม่พอใจในการดำเนินการบริหารโรงเรียน และมีการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส่ โดยนักเรียนถือป้ายประท้วง และมีแกนนำนักเรียนพูดเกี่ยวกับเรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารงานที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น และไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของนักเรียนภายในโรงเรียน โดยเหตุการณ์ได้ยืดเยื้อนานกว่า 1 ชั่วโมง จนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ต้องเข้ามาดูแลความเรียบร้อยของการชุมนุมในครั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับเด็กนักเรียนและผู้อยู่ในเหตุการณ์

ทั้งนี้หลังจากการชุมนุมผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมงทางเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ต้องเรียกทางผู้บริหารและตัวแทนนักเรียนเข้าพูดคุยไกล่เกลี่ยในห้องประชุม ขณะเดียวในส่วนของการชุมนุม มีกลุ่มผู้ปกครองบางส่วนเดินทางมารับบุตรหลานของตนออกจากโรงเรียน เพื่อไม่ให้มีส่วนร่วมกับการชุมนุม เนื่องจากเกรงจะมีผลกระทบกับการเรียน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางโรงเรียนยกเลิกการเรียนการสอนในวันนี้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเด็กนักเรียนแล้ว ขณะที่เด็กนักเรียนบางส่วนได้กลับห้องเรียนเนื่องจากมีการสอบวัดผลด้านความรู้ในบางรายวิชา

ด้านนักเรียนที่ชุมนุมระบุว่าการที่นักเรียนวัฒโนพายัพเชียงใหม่ออกมาประท้วงในครั้งนี้ เนื่องจากพบความไม่โปร่งใสในการบริหารของผู้อำนวยการ นำงบประมาณของโรงเรียนไปใช้ในด้านที่ไม่มีประโยชน์ เช่น การนำงบไปซื้อเบาะรถใหม่ โดยให้เหตุผลว่า เบาะเดิมนั้นนั่งไม่สบาย การเบิกงบประมาณจำนวนหนึ่งไปซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด แต่ผลปรากฏว่าได้เครื่องต้มกาแฟราคา 6 หมื่นมาแทน โทรทัศน์จอแอลซีดีที่จะมีการตั้งไว้ด้านหน้าโรงเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 13.00 น. การประท้วงขับไล่ ผอ.โรงเรียนครั้งนี้ พ.ต.อ.ปิยะพันธ์ ภัทรพงศ์สินธุ์ ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ เดินทางมาอำนวยความสะดวกในเรื่องของการจราจรบริเวณหน้าโรงเรียน ต่อมานายสิทธิชัย เดินทางมายังโรงเรียนวัฒโนทัยฯ และได้เข้าสอบถามข้อเท็จจริงกับครูปกครองและตัวแทนเด็กนักเรียน จนทราบข้อมูลและได้ออกมาแจ้งให้กับเด็กนักเรียนได้ทราบว่า ทางสำนักงานเขตการศึกษาฯ ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น และให้ผอ.โรงเรียนมาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานเขตการศึกษาก่อน เพื่อรอการตรวจสอบและตั้งกรรมการสอบสวน ส่วนเรื่องที่จะให้ย้ายผอ.ดังกล่าวภายใน 24 ชั่วโมง นั้นไม่ได้ ต้องทำตามขั้นตอนการสอบสวนก่อน ซึ่งทางเด็กนักเรียนก็พอใจและแยกย้ายกันเข้าเรียนตามปกติ

วันเดียวกัน ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากนายสิทธิชัย มูลเขียน ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 34 ว่าช่วงเวลาประมาณ 08.00 น. นักเรียนของร.ร.วัฒโนทัยพายัพ เพื่อชุมนุมขับไล่ผอ. เนื่องจากไม่พอใจการบริหารงานของโรงเรียนในหลายๆ เรื่อง อาทิ ไม่สนับสนุนส่งเสริมการเรียนรู้ โดยเฉพาะการไม่จัดส่งวงโยทวาทิตของโรงเรียนไปแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงไม่ส่งนักเรียนไปแข่งขันด้านวิชาการต่างๆ

นอกจากนี้ ยังซื้อปลาคราฟราคาแพงมาเลี้ยงในโรงเรียน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะควรใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์กับการศึกษามากกว่า ตลอดจนใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับนักเรียน เป็นต้น ดังนั้น กลุ่มนักเรียนจึงเรียกร้องให้ย้ายผอ.ออกจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงควบคู่ด้วย           

เลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อว่า เมื่อทราบเขตพื้นที่ฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงไปดูแลพร้อมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับนักเรียนทันที โดยยืนยันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงตามกระบวนการขั้นตอนต่อไป ส่วนการสั่งย้ายผอ.ภายใน 24 ชั่วโมงตามข้อเรียกร้องนั้น เขตพื้นที่ฯ ไม่สามารถสั่งการได้ เพราะการดำเนินการใดๆ ต้องเป็นไปตามระเบียบที่กำหนด แต่ระหว่างที่มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง จะขอให้ผอ.ร.ร.ไปปฏิบัติงานที่ส่วนงานอื่นก่อน จนกว่าการสืบสวนจะแล้วเสร็จ เพื่อความโปร่งใสยุติธรรม ซึ่งกลุ่มนักเรียนเข้าใจและยอมแยกย้ายเข้าเรียนตามปกติในเวลา 10.00 น.      

“เวลานี้ทางเขตพื้นที่ฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว และให้ตัวผอ.โรงเรียนมาปฏิบัติราชการชั่วคราวที่เขตพื้นที่ฯ จนกว่ากระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นอำนาจของเขตพื้นที่ฯ แต่ได้กำชับว่าต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด และดำเนินการไปตามแนวปฏิบัติที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) วางไว้ ผมได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ.ทราบแล้ว” นายกมล กล่าว

 

การเมือง-การปกครองส่วนท้องถิ่น

ม็อบคนชราน้ำตาคลอฮือร้อง!! ทวงเงินเบี้ยยังชีพ-ไม่ได้รับ 4 เดือน ทุกข์หนักอดมื้อกินมื้อ

14 ก.ย. 2558 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 ก.ย. ที่ศาลาการเปรียญวัดสระพังทอง บ.ทู้ หมู่ 6 ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้มีผู้สูงอายุและคนพิการในพื้นที่ ต.น้ำก่ำ กว่า 200 คน เดินทางมาชุมนุมร้องเรียน หลังได้รับความเดือดร้อนไม่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพและคนพิการจากเทศบาล ต.น้ำก่ำ มานาน 3-4 เดือนแล้ว ร้องศูนย์ดำรงธรรม และ ปปช.เรื่องเงียบหาย จึงอยากทวงถามว่าล้าช้าด้วยเหตุใดกันแน่

โดยคนเฒ่าคนแก่อายุกว่า 60 ปี ชาย-หญิงได้สลับสับเปลี่ยนกล่าวถึงปัญหาความเดือนร้อนผ่านเครื่องขยายเสียง พร้อมทั้งชูป้ายประท้วง ผู้เฒ่าบางรายน้ำตาแทบซึมคลอเบ้า หลังไม่ได้รับเงินตามกำหนด พร้อมเรียกร้องให้เทศบาล ต.น้ำก่ำ โอนเงินเข้าบัญชีแทนให้เจ้าหน้าที่มานัดจ่ายในครั้งต่อไป

 นายสมนึก สายบุญทอง วัย 76 ปี ชาวบ้านโนนสังข์ หมู่ 11 กล่าวว่า ได้รับเบี้ยยังชีพคนชราตกเดือนละ 700 บาท รับตรงเวลาต่อเนื่อง 4-5 ปีแล้ว อาศัยเงินดังกล่าวเลี้ยงชีพ เพราะหลังค่อมไม่สามารถประกอบอาชีพได้ รับเงินครั้งล่าสุด เมื่อเดือน มิ.ย. จากนั้นไม่ได้รับอีกเลย หลังเทศบาลตำบลน้ำก่ำ ไม่จ่ายเงินมา 3-4 เดือน ต้องอดมื้อกินมื้อ ลูกหลานก็ไปทำงานหมด เรียกร้องให้เทศบาลฯแห่งนี้จ่ายให้ตรงเวลาทุกเดือน

คุณยายทมมา ผาขม อายุ 79 ปี ชาวบ้านคับพวง กล่าวระบายว่า เทศบาลตำบลน้ำก่ำ ค้างจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราตน 4 เดือน เป็นเงิน 2,800 บาท ก่อนนี้มีเจ้าหน้าที่มานัดจ่ายที่วัดหรือชุมชน เคยตั้งตัวแทนคนแก่ไปทวงถามแต่ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม ว่าไม่มีเงินจะจ่าย เดือดร้อนหนักจะไปทำงานอะไรก็ไม่ได้แล้ว เพราะอายุมากแล้ว

ลูกหลานคนชรารายหนึ่ง ระบุว่า คุณยายบึ่ง สุนา วัย 85 ปี ซึ่งตาบอดต้องนอนร้องห่มร้องไห้ 3 เดือนแล้ว ไปถามเอาเงินก็บ่ายเบี่ยง ตอนอยากเป็นผู้บริหารก็ไปกราบไหว้ถึงบ้าน แต่พอได้เป็นกลับใช้วาจาหยาบคายด่าคนแก่ ไม่เหมาะสมเป็นผู้นำ พร้อมกล่าวด้วยว่า ถ้าตำบลอื่นได้เงินคนชราทุกเดือน ก็ให้คนแก่ย้ายไปอยู่ตำบลอื่น สงสารแต่คนชราที่เดือนร้อน 20 หมู่บ้าน จำนวนกว่า 1,520 คน  จึงร้องเรียนไปที่ศูนย์ดำรงธรรม และ ปปช.จังหวัด ก่อนออกมาชุมนุมเรียกร้องทวงถามดังกล่าว

ขณะที่นายธัชพล ห้าวนาง หน.กองสวัสดิการสังคม เทศบาลตำบลน้ำก่ำ กล่าวว่า เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและผู้พิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดสรรเงินมาให้ทุกเดือน มีผู้พิการที่ค้างจ่าย 3 เดือน จำนวน 238 คน ตั้งแต่ ก.ค.ยังไม่ได้รับ ส่วนเบี้ยยังชีพคนชราเทศบาลฯ นำเงินสะสมเป็นเงินเดือน 1.1 ล้านบาท มาสำรองจ่ายหลายเดือน จนไม่มีเงินจะจ่ายแล้ว อยู่ระหว่างประสานกับทางจังหวัดในส่วนที่ขาดและค้างจ่ายต่อไป

ด้านนายสุระธวิชญ์ ขันติญาราษฏร์ นายกเทศบาลตำบลน้ำก่ำ กล่าวชี้แจงว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุปี 2558 เทศบาลฯ ได้รับจัดสรรงบมา 9,326,200 บาท แต่จ่ายจริงจำนวน 10,168,300 บาท ค้างจ่ายผู้เฒ่าผู้แก่ 806,100 บาท สาเหตุรัฐบาลไม่ส่งเงินมาให้ เมื่อเงินไม่มาก็ไม่มีเงิน และเงินไม่พอจะจ่ายหลังใช้เงินสะสมไปหมดแล้ว

ชาวบ้านกว่าร้อย ประท้วงขับไล่รอง อบจ.หนองจะบก หลังขวางขอสิทธิ์ที่ดิน สปก.

14 ก.ย. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่าที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองจะบก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ชาวบ้านจากบ้านหนองปรู หมู่ที่ 4 ตำบลหนองจะบก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา กว่า 100 คน นำโดยนายสนอง  สุขกำเนิด ผู้ใหญ่บ้านหนองปรู หมู่ที่ 4 ได้รวมตัวประท้วงและขับไล่ นายวีระศักดิ์ ก้องเสียง รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองจะบก หลังจากที่ชาวบ้านอ้างว่า นายวีระศักดิ์ เป็นผู้ที่คัดค้านและระงับการออกเอกสารสิทธิให้กับชาวบ้านหนองปรู หมู่ที่ 4 จำนวน 169 ครอบครัว เนื้อที่กว่า 150 ไร่

การประท้วงขับไล่นี้ สืบเนื่องหลังจากที่ ส.ป.ก.ได้ดำเนินการมาจัดทำรังวัดในพื้นที่และผ่านความเห็นชอบของอนุกรรมการการปฏิรูปที่ดินอำเภอเมืองนครราชสีมา ที่มีกำนันและผู้ใหญ่บ้าน เป็นอนุกรรมการโดยตำแหน่ง แต่นายวีระศักดิ์ ไปคัดค้านระหว่างการให้ปากคำรับรองสิทธิ์ ต่อหน้านายอำเภอเมืองนครราชสีมา หัวหน้า ส.ป.ก.จังหวัดนครราชสีมา กำนันตำบลหนองจะบก ผู้ใหญ่บ้านหนองปรู และคณะอนุกรรมการอื่นๆ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อำเภอต้องระงับการขอเอกสารสิทธิ เพื่อให้ ส.ป.ก.เข้าไปตรวจสอบตามคำร้องคัดค้านดังกล่าว

นายสนอง กล่าวว่า การที่ชาวบ้านเดินทางมาที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองจะบก ในวันนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะทวงถามสาเหตุที่ นายวีระศักดิ์  คัดค้านและระงับการออกเอกสารสิทธิให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งๆ ที่กระบวนการการตรวจสอบทุกอย่างได้ผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการต่างๆ อย่างถูกต้องแล้ว ดังนั้นทำให้ชาวบ้านที่เคยมีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเองมานานกว่า 50 ปี ต่างเสียโอกาสจากการคัดค้านของนายวีระศักดิ์ อีกทั้งชาวบ้านต้องการให้ปลดนายวีระศักดิ์ ออกจากการเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองจะบก เนื่องจากกินเงินภาษีของประชาชนแต่กลับทำให้ประชาชนในพื้นที่ของตนเองต้องเดือดร้อน

ด้านนายวีระศักดิ์  กล่าวว่า ตนเองไม่มีเจตนาในการที่จะคัดค้านแต่อย่างไร และยืนยันว่าเห็นด้วยกับสิทธิ์ที่ชาวบ้านจะได้มา ซึ่งกระบวนการทุกอย่างยังคงดำเนินการต่อไป แต่เป็นการเข้าใจผิดของชาวบ้าน ส่วนที่ว่ามีการระงับไปนั้นตนเองคิดว่าจะเป็นการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดและเป็นสาเหตุที่ทำให้ล่าช้า

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายวีระศักดิ์ กำลังชี้แจงอยู่นั้น ชาวบ้านต่างไม่พอใจ พากันส่งเสียงโห่ไล่เป็นระยะ จนกระทั่งนายกมล อ่อนน้อม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองจะบก ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยกับทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ทั้งนี้ นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า พร้อมที่จะพิจารณาตนเองลาออกจากตำแหน่งรองนายก อบต.หนองจะบก หากชาวบ้านมีเอกสารและหลักฐานมายืนยันว่า ตนเองเป็นผู้คัดค้านการขอเอกสารสิทธิจริง จึงทำให้ชาวบ้านพอใจและแยกย้ายกันกลับบ้านในที่สุด

ครู-นักเรียน “วรนารีเฉลิม” ฮือประท้วงเทศบาลนครสงขลา ฮุบที่สร้างส้วมสาธารณะบังทัศนียภาพโรงเรียน

17 ก.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าคณะครู และนักเรียนโรงเรียนวรนารีเฉลิม อ.เมือง จ.สงขลา ได้เดินขบวนไปยื่นหนังสือถึงนายกเทศมนตรีนครสงขลา เพื่อเรียกร้องขอให้เทศบาลนครสงขลา ยุติโครงการก่อสร้างห้องน้ำสาธารณะกีดขวางทางเข้าออก และบดบังทัศนียภาพของโรงเรียน โดยเนื้อหาในหนังสือแถลงการณ์ของนักเรียนโรงเรียนวรนารีเฉลิม ระบุว่าตามที่เทศบาลนครสงขลา ได้ก่อสร้างอาคารในที่ดินของทางโรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลาทางด้านทิศตะวันออกจดถนนชลาทัศน์ (ถนนริมทะเล) กีดขวางประตูเข้า-ออก ของโรงเรียน และสร้างอาคารปิดบังป้ายโครงการเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าของโรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา ซึ่งถือว่าดูหมิ่นพระเกียรติ และดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นการปิดบังทัศนียภาพอันสวยงามของโรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลาดังนั้น คณะกรรมการนักเรียน นักเรียน และศิษย์เก่าโรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา ได้ประชุมร่วมกัน และมีมติว่า ขอให้เทศบาลนครสงขลา “ยุติการก่อสร้างและทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างให้เรียบร้อย เพื่อคืนพื้นที่ให้โรงเรียนตามเดิม”     

ทั้งนี้ กรรมการนักเรียนโรงเรียนวรนารีเฉลิม เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ว่า ที่ดินบริเวณที่เทศบาลนครสงขลาใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างห้องน้ำดังกล่าวเป็นที่ดินราชพัสดุที่ทางโรงเรียนได้ทำหนังสือขอใช้พื้นที่จากกรมธนารักษ์เพื่อขยายอาคารเรียนตามหนังสือการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกรมธนารักษ์ เป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ปี 2518

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ตันติเศรณี นายกเทศมนตรีนครสงขลา ได้ขึ้นเวทีชี้แจงต่อนักเรียนโรงเรียนวรนารีเฉลิม โดยระบุว่า โครงการดังกล่าวได้มีการเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง และดำเนินการก่อสร้างไปจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากทางเทศบาลสั่งให้ยุติการก่อสร้างในขณะนี้ก็จะถูกบริษัทผู้รับเหมาฟ้องร้องเอาได้ หากนักเรียนคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็แนะนำให้ไปฟ้องศาลปกครอง หากศาลมีคำสั่งเช่นใดทางเทศบาลก็พร้อมจะปฏิบัติตาม

 

ประท้วงเชิงสัญลักษณ์

ชาวบ้านลำพูนรวมตัวประท้วงนำต้นกล้วยมาปลูกลงบนถนนที่เป็นหลุมบ่อ

15 ก.ย. 2558 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่ศาลากลางจังหวัดลำพูน ตัวแทนชาวบ้านหมู่ 7 และหมู่ 5 ต.ต้นธง นำโดยนายมนตรี ใจคำ เดินทางเข้าร้องทุกข์กับผวจ.ลำพูนผ่าน ศูนย์ดำรงธรรม และเจ้าหน้าที่ทหาร โดยมี พ.ท.นพดล คามเกตุ เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1 ลำพูนเป็นตัวแทนรับมอบ ทั้งนี้นายมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องจากชาวบ้านจักรคำภิมุข และบ้านพันตาเกิน รวมถึงประชาชนที่ใช้ถนนในการสัญจรไปมาและขนส่งพืชผลทางการเกษตรได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากถนนสายสำคัญที่เป็นเส้นทางเชื่อมหมู่บ้าน และตำบลริมปิงยาวประมาณ 4 กิโลเมตรครึ่ง ชำรุดเป็นหลุมบ่อ สร้างความลำบากให้แก่ชชาวบ้านที่สัญจรผ่นไปมา ไม่มีความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินชาวบ้านเคยร้องขอไปยังเทศบาลตำบลต้นธงแต่ได้รับคำตอบว่าทำไม่ได้เพราะเกินศักยภาพ และเคยร้องขอไปยัง อบจ. ก็บอกว่าไม่มีงบประมาณ ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จึงขอความอนุเคราะห์มายัง จ.ลำพูน และหน่วยงานทางทหาร เพื่อช่วยจัดสรรงบประมาณสร้างถนนใหม่ชาวบ้านจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายในหนังสือที่ยื่นได้มีรายชื่อของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนหมู่ 7 และหมู่ 10 จำนวน 227 คนแนบมาด้วย

ทั้งนี้หลังทราบข้อมูล ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่หมู่ 7 บ้านจักรคำภิมุข เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เส้นทางดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมเป็นหลุมเป็นบ่อเดินทางไปมาลำบาก ยวดยานพาหนะที่สัญจรผ่านต้องคอยหลบหลุม ขณะที่กำลังสำรวจสภาพถนนพบกลุ่มชาวบ้านประมาณ 50 คน รวมตัวประท้วงนำต้นกล้วยมาปลูกลงบนถนนที่เป็นหลุมบ่อเพื่อประท้วงด้วย

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net