Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 


นับแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน สถานการณ์ดูเหมือนจะสงบเรียบร้อยเพราะไม่มีม็อบมาปิดกั้นถนนเหมือนช่วงก่อนหน้าการรัฐประหาร แต่ยิ่งนานวันปัญหาต่างๆต่างรุมเร้าเข้ามาทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โรดแม็ปที่ว่าไว้ก็ดูเหมือนจะไม่แน่นอนเสียแล้ว เพราะอย่างน้อยก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อยืดอายุของคณะกรรมาธิการร่างฯออกไปและเปิดโอกาสให้มีการลงประชามติหากสภาปฏิรูปฯผ่านร่างรัฐธรรมนูญแล้ว

นอกจากนั้นยังมีการดัดหลังสภาปฏิรูปฯหรือ สปช.ที่มักออกมาสวนทางกับนโยบายของ คสช.และรัฐบาลอยู่เสมอด้วยการยุบ สปช.เสียภายหลังที่มีการลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฯ ล่าสุดแกนนำ กปปส.ก็ออกมาแถลงว่าให้ปฏิรูปก่อนแล้วจึงค่อยเลือกตั้ง จนทำให้เสมือนหนึ่งว่าสถานการณ์การเมืองกลับไปสู่ยุคก่อนการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า “นับแต่นี้เราจะไปทางไหนกัน”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้

1)ปัจจัยภายนอก คือ แรงกดดันจากการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการแซงก์ชั่นจากสหรัฐอเมริกาอันเป็นผลมาจากการที่เรายังอยู่ในระดับเทียร์ 3 ของการจัดอันดับการค้ามนุษย์ติดกันเป็นปีที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นการที่อาจจะได้รับใบแดงจากIUUในเรื่องของการประมงที่จะครบหกเดือนในอีกไม่นานนี้ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะมีผลต่อผลิตภัณฑ์ของเราที่จะส่งไปขายในประเทศเหล่านี้กลายเป็นสินค้าน่ารังเกียจ นอกจากนั้นก็ยังมีปัญหาการบินของ ICAOที่เราจะต้องเผชิญจนต้องมีการสำรองสนามบินอู่ตะเภาไว้ในกรณีที่ไม่ผ่านมาตรฐานฯ

แรงกดดันนี้นอกจากจะมาจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเองแล้ว เรายังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมหามิตรจีนที่เราหวังจะพึ่งพิง แต่กลับกลายมาเป็นแรงบีบเสียเองซึ่งก็คือกรณีอูยกูร์ที่เราส่งกลับไปจนถูกด่าไปทั่วโลกและยังถูกบีบให้ส่งที่เหลือกลับไปอีก ดังจะเห็นจากการเยือนไทยของเจ้าหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนระดับสูงที่มีหน้าที่นี้โดยตรง ซึ่งทำให้เรากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ครั้นจะหวังให้มาลงทุนรถไฟความเร็วสูงก็เป็นได้แต่เพียงการให้เงินกู้เท่านั้น มิหนำซ้ำอาจจะต้องซื้อเรือดำน้ำเป็นการตอบแทนเสียอีก นอกจากจะเสียเงินแล้วยังต้องทำให้ถูกระแวงจากสหรัฐอเมริกาโดยใช่เหตุ

ในด้านความสัมพันธ์หรือแรงกดดันจากสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนนั้นยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน มิหนำซ้ำการคัดเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่ก็ยังขัดต่อหลักการปารีสเสียอีก ทั้งๆที่ถูกเตือนมาแล้วว่าจะถูกลดระดับจากA ไป B เป็นการถาวรหลังจากที่ให้เวลาทบทวนมา 1 ปี แต่ก็ยังขืนทำ ซึ่งผลจากการลดระดับนี้จะทำให้สถานะของเรากลายเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ไม่สามารถเสนอประเด็นใดๆต่อที่ประชุมในระดับนานาชาติได้

2)ปัจจัยภายใน คือ ความไม่แน่นอนของอนาคตร่างรัฐธรรมนูญฯที่หมายถึงกลับคืนสู่โหมดการเลือกตั้งซึ่งความไม่แน่นอนนี้นับแต่การลงมติของ  สปช.ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเพราะจะทำให้โรดแม็ปยืดขยายออกไป มีการออกข่าวของสมาชิก สปช.กันไม่เว้นแต่ละวันว่าจะรับหรือไม่รับบ้าง มีการออกข่าวว่าจะปฏิรูปก่อนแล้วจึงค่อยเลือกตั้งบ้าง ฯลฯ ซึ่งหากไม่ผ่าน สปช.ก็ต้องกลับไปร่างใหม่ให้เสร็จภายใน 180 วันแล้วจึงลงประชามติ

แต่หากร่างรัฐธรรมนูญฯผ่าน สปช.ไปแล้วยังต้องไปลุ้นผลของการลงประชามติอีกว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านหากไม่ผ่านก็ต้องกลับไปยกร่างใหม่อีกเช่นเดียวกับกรณีที่ไม่ผ่าน สปช. ฝ่ายกองเชียร์ก็เชียร์ลำบาก เพราะฝ่ายที่ไม่ชอบร่างรัฐธรรมนูญฯจะรับก็ขัดต่อความรู้สึก ครั้นจะไม่รับ คสช.ก็จะอยู่ต่ออีก ส่วนฝ่ายที่ชอบร่างรัฐธรรมนูญฯ เพราะตรงกับความต้องการของตนเองที่สามารถปิดกั้นกลุ่มอำนาจเก่าได้ แต่หากปล่อยให้รัฐธรรมนูญผ่านไป สิ่งที่ตนเองต่อสู้มาก็ยังเหลืออีกมากเกรงว่าจะเป็นการเสียของไปเสียเปล่าๆ จึงต้องพยายามรณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนจึงค่อยมีการเลือกตั้ง ภาวการณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อการค้าการขายหรือการลงทุนเลย

ความไม่แน่นอนของทิศทางทางการเมืองนี้ย่อมนำมาซึ่งความอึดอัดขัดข้องจนต้องมีการแสดงออกมาอย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจเด็ดขาดของมาตรา 44 จนเกิดปรากฎการณ์ดาวดินขึ้นมาจนศาลทหารต้องสั่งปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องมีการประกันตัว และหากมีการยืดโร้ดแม็ปออกไปเนิ่นนานปรากฎการณ์เช่นเดียวกันนี้ย่อมจะเกิดขึ้นได้อีก

นอกจากความไม่แน่นอนทางการเมืองแล้วก็ยังมีความไม่แน่นอนทางกฎหมายซึ่งศัพท์ทางนิติศาสตร์เรียกว่าความไม่มั่นคงทางกฎหมายนั่นเอง เพราะมีการใช้มาตรา 44 กันอย่างพร่ำเพรื่อและมากมาย แม้แต่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ยังมีการใช้มาตรา 17 ไม่กี่ครั้งเอง ซึ่งการใช้มาตรา 44 กันอย่างพร่ำเพรื่อนี้ได้ทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายลดลงเพราะเกิดสภาวะที่ภาษากฎหมายเรียกว่า “ผลประหลาด(absurd)”นั่นเอง

แต่ที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นชี้ตายว่า “นับแต่นี้เราจะไปทางไหนกัน” ก็คือปัญหาเศรษฐกิจนั่นเอง เราคงคุ้นเคยกับคำว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” ฉันใด การเมืองที่มีทหารนำย่อมขึ้นอยู่กับกึ๋นและฝีมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดปัญหา “ต้มยำกุ้ง”ในปี 40 เป็นต้นมา ฉันนั้น  หากแก้ไม่ดีแม้จะมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือก็เอาไม่อยู่ เพราะผู้ที่กุมอำนาจทางการเมืองของไทยที่แท้จริงคือพ่อค้าวาณิชทั้งหลายหากไม่เอาด้วยก็อยู่ไม่ได้แน่นอน

ที่กล่าวมาทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเป็นไปแต่ในทางร้ายๆเสียทั้งนั้น แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส โอกาสที่ว่านี้ก็คือ โอกาสในการที่จะเกิดการรัฐประหารในอนาคตย่อมน้อยลงหรือไม่มีเลยเพราะจากการรัฐประหารในครั้งนี้ที่พยายามปิดจุดอ่อนของการรัฐประหารที่ผ่านมาที่ถูกมองว่าเสียของแล้วใช้อำนาจเต็มทุกอย่างแล้วยังไม่ได้ผล จึงเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าการแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยการรัฐประหารนั้นใช้ไม่ได้นั่นเอง

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ 5 สิงหาคม 2558

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net