บทความของคุณ มุมมืด ณ.รัตติกาล เรื่อง การหล่อเลี้ยง “ตัวตน” ด้วยการ “หลอก”ตนเอง (ประชาไท Mon, 2013-10-07 ) กล่าวไว้ทำนองว่าว่าการเล่นสื่อทางสังคมสมัยใหม่ของผู้คนจำนวนไม่น้อยเป็นกระบวนการเล่นกับ “ตัวตน” ของตนเอง ที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวตนพองเต็มที่ในเฟซบุ๊ก เพราะได้เลือกที่จะแสดงส่วนเสี้ยวของ “ตัวตน” ที่อยากให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ และ“ ตัวตน”ด้านที่เลือกแสดงออกก็เป็นไปเพื่อหล่อเลี้ยงความเหี่ยวเฉาของตัวตนทั้งหมดในชีวิตจริง พร้อมกันนั้น ก็ได้กลบด้านอัปลักษณ์ที่ดำมืดโดยซ่อนเอาไว้เบื้องลึกของช่วงเวลาที่สุขสันต์ปลาบปลื้มกับภาพที่ได้เลือกสรรแสดงออกไปสู่สาธารณะ
นอกจากประเด็นในเรื่องความปรารถนาที่จะหลอกตัวเองและผู้อื่นด้วยการแยกส่วนเสี้ยวของตัวตนมาขยายการรับรู้และสร้างให้เป็นเสมือน “ ตัวตนจริง” ของผู้เล่นสื่อสมัยใหม่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ แล้ว (เมื่อเวลาเปลี่ยน ส่วนเสี้ยวของตัวตนที่ทำให้เสมือนจริงก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ) สิ่งที่ซ้อนอยู่ภายใต้การเล่มเกมส์กับตัวตนเช่นนี้ ก็คือ สภาวะของการทำให้เกิดความ “กำกวม”ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ
ผมเลือกใช้คำว่า “ กำกวม” แม้ว่าจะรู้สึกว่าไม่ตรงมากนัก ตอนแรกคิดว่าจะใช้คำยืมจากฝรั่งว่า “ เบลอ”( Blur)ที่หมายถึงความพร่ามัว ความไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไร จึงขอใช้คำว่า “ กำกวม”ไปก่อนนะครับ
สภาวะความ “ กำกวม” ที่คนส่วนหนึ่งแยกได้ยากมากขึ้น ที่สำคัญ ไม่รู้สึกอยากจะแยกระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในวันนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลกหลังสมัยใหม่ที่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็น “ทุน” เพื่อทำให้การผลิตดำเนินต่อเนื่องต่อไป
มิติของ“ ทุน” ในการผลิตจึงเกิดขึ้นหลายระดับและสลับซับซ้อนมากขึ้น นักวิชการจำนวนมากได้พูดถึงทุนที่มีความหมายมากกว่าทุนเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจมานานพอสมควรแล้ว เช่น การอธิบายถึงทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม แต่ในขณะนี้ ท่ามกลางความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จำเป็นที่ต้องมองการขยายตัวของทุนที่มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะ ทุนที่เข้าไปกลืนกินส่วนลึกที่สุดของมนุษย์ อันได้แก่ ทุนทางความรู้สึก
กล่าวได้ว่าพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการสะสมทุน การผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก การบริโภค ในช่วงแรกๆ ได้ทำให้เกิดการแยกพื้นที่ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ, พื้นที่ที่ทำงานกับพื้นที่บ้าน กระบวนการแยกพื้นที่ออกเป็นสองมิติเช่นนี้ได้หล่อเลี้ยงให้ระบบทุนนิยมขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องยาวนานทีเดียว ลองนึกถึงคนในระบบการผลิตสมัยใหม่ตั้งแต่รัชกาลที่ห้าเป็นต้นมานะครับ เราจะพบว่าการแยกพื้นที่ทั้งสองนี้ได้ทำให้เกิดการขยายตัวของการผลิตเพิ่มขึ้นมากมาย
ในทศวรรษ 1960 Daniel Bell นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นท่านแรกๆที่ได้เขียนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมว่าเป็นช่วงของ “สังคมหลังอุตสาหกรรม” (Post-industrial society) โดยเน้นความเปลี่ยนแปลงจากการผลิตอุตสาหกรรมมาสู่การผลิตภาคบริการ ต่อมาก็มีการขยายการศึกษาในเรื่องสังคมในสมัยหลังสมัยใหม่ ( Post Modern ) นี้มากมายเหลือคณานับ ( นิยามคำว่า”หลังสมัยใหม่”มีอย่างน้อยสามความหมาย ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจของโลกหลังสมัยใหม่ ระบบสังคมของโลกหลังสมัยใหม่ และวิธีคิดของการแสวงหาความรู้ความหมายแบบหลังสมัยใหม่ หากมีโอกาสจะขยายในคราวต่อไปครับ )
แกนหลักของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ก็คือ การทำให้ทุกอย่างเป็นทุนและทำให้ทุกอย่างเป็นสินค้าได้ขยายตัวและปรับเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของเรารวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ทุนนิยมภาคบริการที่กลายเป็นหลักของทุนนิยมในช่วงหลังนี้จึงได้ขยายเข้ามาสู่ปริมณฑลของอารมณ์ความรู้สึกเพื่อใช้เป็นฐานในการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจกและการบริโภค จนกล่าวได้ว่าทุนปัจจุบันเป็นทุนความรู้สึก ในความหมายที่ว่าได้เปลี่ยนความรู้สึกของมนุษย์ให้แปรเปลี่ยนเป็นทุนและสินค้าบริโภคกันอันยังผลให้การผลิตยังดำเนินการต่อเนื่องต่อไปได้
ฐานของระบอบอารมณ์ความรู้สึกในสังคมแบบอุตสาหกรรมที่แยกระหว่างพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะเป็นชุดอารมณ์ความรู้สึกสองชุดที่ในปัจจุบันนี้ กลายเป็นปราการกีดกันและขัดขวางการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจภาคบริการไม่ให้เติบโตได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
ดังนั้น เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วงหลังนี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสลายเส้นแบ่งระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะ เพื่อที่จะทำให้การผลิตของสินค้าบริการบนฐานอารมณ์ความรู้สึกดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ถูกจำกัด
ด้วยการที่ความรู้สึกถูกผลิตและถูกบริโภคมากขึ้นในสังคมไทย คนไทยที่มีชีวิตอยู่ในระบบนี้ได้คิดและสร้างคำว่า “ ดราม่า” มาแทนการผลิตและการบริโภคสินค้าอารมณ์ความรู้สึกที่ขยายตัวมากขึ้น นักศึกษาของผมได้กล่าวถึงรายการข่าวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในสังคมไทยตอนนี้ว่าผู้ผลิตไม่ได้ขายข่าวหากแต่ขายความเป็น “ ดราม่า” ของข่าว สินค้าจำนวนมากกว่ามากรวมทั้งโฆษณาของ สสส. ก็ล้วนแล้วแต่เล่นในเรื่อง “ ดราม่า” ทั้งสิ้น
“ดราม่า” ที่ถูกสร้างขึ้นจะเป็นสิ่งที่เชื่อมและผนวกเอาความรู้สึกส่วนตัวของผู้คนเข้าไป “ อิน” ในส่วนที่เป็นพื้นที่สาธาณะ การระเบิดความรู้สึกส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะจึงเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น ด้วยเหตที่สำคัญ คือ ไม่สามารถระงับอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวที่พลุ่งพล่านขึ้น เพราะถูกทำให้ “ อิน “ เข้าไปในประเด็นสาธารณะนั้นๆเสียแล้ว ( ลองนึกถึงคนที่โพสต์ด่าโคชเทกวนโดเกาหลีในช่วงแรกๆซิครับ )
ความ “ กำกวม” ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะจึงจะยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่อยู่กับเราไปอีกนาน ทำอย่างไรเราจะสามารถสร้างการรับรู้เรื่องราวต่างๆให้แก่สังคมให้มากขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อที่จะเป็นระบบการเตือนตนว่าหากไม่เข้าใจการถูกกระตุ้นอามรมณ์ส่วนตัวให้พลุ่งพลานและไประเบิดในที่สาธารณะ ก็จะประสบปัญหาความขัดแย้งในระดับต่างๆอันยิ่งจะทำให้เดือดร้อนมากขึ้น
เผยแพร่ครั้งแรกใน กรุงเทพธุรกิจ 31 กรกฏาคม 2558