ประเทศไทยมีคลินิกให้บริการทำเด็กหลอดแก้วกว่า 30 แห่ง จากการบันทึกสถิติการทำเด็กหลอดแก้วโดยเฉลี่ย 3,000 – 4,000 ครั้งในแต่ละปี และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น สถิติเปรียบเทียบการทำเด็กหลอดแก้วช่วง พ.ศ. 2546 , 2548 และ พ.ศ. 2549 โดยรายละเอียด พ.ศ. 2546 จำนวน 2,623 ครั้ง พ.ศ. 2548 จำนวน 3,140 ครั้ง และเพิ่มมากขึ้น 3,304 ครั้ง ใน พ.ศ. 2549 (Vutyavanich et al. 2011) การทำเด็กหลอดแก้วดำเนินการตามข้อระเบียบภายใต้กฎหมายแพทยสภา ประกาศบังคับใช้ 2 ฉบับ 1/2545 และ 2/2545 ระเบียบการตั้งครรภ์แทนระบุขอบเขต “ผู้ให้บริการ” การตั้งครรภ์แทนต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีใบรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย สำหรับ “ผู้รับบริการ” ห้ามเลือกเพศทารก โดยเฉพาะมาตราห้ามบริจาคและซื้อขายไข่จากผู้หญิง และรับจ้างตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์ ข้อระเบียบดังกล่าวได้ถูกปรับปรุงเข้มงวดขึ้นในการประชุมรัฐสภา เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553 เนื่องจากในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน ตำรวจได้จับกุมนายหน้าตั้งครรภ์แทนชาวไต้หวัน “เบบี้ 101” ที่จัดหาผู้หญิงเวียดนาม 15 คนเพื่อทำการตั้งครรภ์แทนแก่ลูกค้าชาวต่างชาติ โดยได้รับค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 5,000 เหรียญสหรัฐซึ่งเข้าข่ายความผิดการค้ามนุษย์ข้ามแดน
ปรากฎการณ์ใหม่ของการตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ใน 5 ปีที่ผ่านมา พบการโฆษณาการตั้งครรภ์แทนในกระดานข่าวสารของอินเทอเน็ตซึ่งเป็นเวทีชีวิตออนไลน์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำเด็กหลอดแก้ว weneedbaby.com , clinicrak.com, vibhavadi.com และ คลินิกดอกเตอร์เสรี กลายเป็นพื้นที่จัดหามดลูกผู้หญิงรับการตั้งครรภ์แทนโดยปริยาย (Shimazono 2013 ) การตั้งครรภ์แทนจารีตเคลื่อนตัวสู่การตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ในฐานะประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (hub) หนึ่งของความก้าวหน้าเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ในระบบโลก ดังปรากฎการณ์ “หมู่บ้านอุ้มบุญ” เป็นข้อเท็จจริงการตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเจริญพันธุ์ข้ามพรมแดนและกระบวนการเช่ามดลูก
ในแวดวงสาธารณสุขและจิตวิทยาการแพทย์ งานศึกษาทางด้านจิตวิเคราะห์การตั้งครรภ์แทนแทบไร้พลังอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม เพราะขบวนการสังคมที่เป็นรูปธรรมตั้งแต่ ค.ศ.1980 เป็นต้นมา แต่เดิมการตั้งครรภ์แทนจำกัดตัวในกลุ่มผู้หญิงที่มีบุตรยาก เมื่อพัฒนาการครอบครัวจารีตเปลี่ยนแปลงมาสู่ความหลากหลาย การหย่าร้าง ครอบครัวทางเลือก คนโสด และความหลากหลายเพศเป็นพลังขับเคลื่อนสังคม เช่น คู่สมรสเพศเดียวกันประสงค์มีบุตรหรือมีบุตรไม่ได้ต้องการทำพันธะสัญญาการตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์กับผู้หญิงที่ยินยอมตั้งครรภ์แทน และทำข้อตกลงว่าการอุ้มท้อง (ตั้งครรภ์แท้และครรภ์เทียม) มีมูลค่าและสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิในการเป็นพ่อแม่ (Markens 2007) การตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์จึงเป็นการสร้างครอบครัวผ่านพื้นที่ตลาด (Market place) ที่มีปฏิบัติการคาบเกี่ยวหลายระดับชนชั้น เพศสภาพและข้ามแดนรัฐชาติ อีกทั้งเปิดเผยให้เห็นการก่อรูปครอบครัวที่พึงปรารถนาของรัฐชาติด้วย
ช่วงต้นศตวรรษ 20 นักมานุษยวิทยาชาติพันธุ์วรรณนา แอลลี่ ทีแมน (Teman 2006) ศึกษาประสบการณ์ผู้หญิงตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ และธุรกิจการตั้งครรภ์แทนในประเทศอิสราเอลถือเป็นงานศึกษาบุกเบิกเชิงโครงสร้างสังคมของการตั้งครรภ์แทนในมิติสังคมวัฒนธรรม ด้วยการวิเคราะห์ต้นแบบความแม่ผ่านแนวคิดทางการแพทย์ตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อการตั้งคำถามต่อระเบียบวิธีวิจัยตามแนวทางแพทย์ชีวภาพที่ยึดโยงกับความเป็นแม่ตามกลไกธรรมชาติและการตั้งครรภ์ของแม่ในบริบทวัฒนธรรมอิสราเอล (Teman 2003) ทีแมน ชี้ให้เห็นว่าความวิตกกังวลทางวัฒนธรรมการตั้งครรภ์แทนเป็นอาการความแปลกแยกต่อการสูญเสียต้นแบบความเป็นแม่ที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณ์ 3 ด้านด้วยกัน พันธุกรรม (genetics) ความเป็นแม่ (maternity) และบทบาททางสังคม (socialization) ความเป็นมารดาที่มีอารมณ์ ความทรงจำ ความปรารถนาเลี้ยงดูบุตร ผูกพันธุ์ในระยะยาวของชีวิตทางสังคมซึ่งเป็นอุดมการณ์หลักในหลายวัฒนธรรมเอเชีย
งานศึกษามานุษยวิทยาเจริญพันธุ์ได้หันเหความสนใจคุณลักษณ์ความเป็นแม่ในมิติทางการแพทย์ชีวะและเทคโนโลยีการแพทย์มากขึ้น ร่างกายประดิษฐ์ (artificial body) มดลูกประดิษฐ์ (artificial womb) อาเธอร์ เกียล (Arthur Greil 2002) นักสังคมวิทยา สนใจศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของการแพทย์ชีวภาพและภาวะการมีบุตรยากได้ชี้อย่างสร้างสรรค์ว่า ผู้หญิงเป็นผู้กระทำการ (agency) ที่กระตือรือร้นอยู่ภายในกรอบคิดทางการแพทย์ ขณะเดียวกันมุมมองที่แตกต่างของ คัทซิน (Cussin 1996) ได้อธิบายว่าผู้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นผู้ถูกกระทำระหว่างกระบวนการแพทย์ การทดสอบกระดูกเชิงกราน การอัลตราซาวน์ การผ่าตัด เครื่องมือการแพทย์เหล่านี้เป็นวิธีการกำกับควบคุมร่างกายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วาทกรรมทางการแพทย์เพื่อการมีสุขภาพดี ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องได้รับบริบาลดูแล (care) แต่สิ่งที่น่าสนใจของการเติบโตธุรกิจการตั้งครรภ์แทนคือ การขยายตัวของตลาดเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งนำมาซึ่งรายได้ของโรงพยาบาล นายหน้าการตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ และผู้กำหนดนโยบายสามารถกำกับควบคุมการเจริญพันธุ์ในอนาคต
ตารางที่ 1 ค่าตอบแทนการตั้งครรภ์แทนในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียและกลุ่มประเทศเอเชีย
ประเทศ/ค่าตอบแทน |
สหรัฐอเมริกา*
(บาท)
|
ออสเตรเลีย*
(บาท)
|
อิสราเอล*
(บาท)
|
ไทย*
(บาท)
|
สิงคโปร์*
(บาท)
|
อินเดีย
(บาท)
|
ค่าตอบแทนรายวัน | 6,111-6,481 | 6,111-6,481 | 6,296-7,111 | 770-1,481 | 1,481-1,851 | 555-1,000 |
ค่าตอบแทนรายคน | 1,650,000-1,750,000 | 1,650,000-1,750,000 | 1,700,000-1,920,000 | 200,000 – 400,000 | 400,000 – 500,000 | 150,000 – 270,000 |
หมายเหตุ * อ้างอิงตัวเลขจากกระทรวงสาธารณสุข สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย, อิสราเอลจาก Center for Surrogacy Israel, ไทยจากรายงานวิจัย Hibino, Yuri and Shimazono, Yosuke (2013) ,สิงคโปร์จาก Global Medical Tourism Service และอินเดียจากรายงานวิจัย Vora, K. (2009) และสถิติกระทรวงสาธารณสุขอินเดีย
กรณีประเทศอินเดีย ตลาดตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์สร้างรายได้อย่างสูงกลายเป็นอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ทำเงินสะพัดอยู่ราว 20,000 ล้านรูปีต่อปี (10,600 ล้านบาท) ประกอบด้วยตลาดการท่องเที่ยวการเจริญพันธุ์ขยายตัวอย่างมาก ระยะหลังประเด็นการแพทย์ทางข้อกฎหมายและจริยธรรมการแพทย์ทำให้อินเดียยกร่างกฎหมายว่าด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technologies Bill) ขึ้นมาใหม่สอดคล้องกับการท่องเที่ยวเพื่อการเจริญพันธุ์เปิดศูนย์กลางการแพทย์เพื่อบริการตั้งครรภ์แทนในภูมิภาคเอเชียร่วมกับสิงคโปร์ จากรายงานสาธารณสุขอินเดียราคาค่าใช้จ่ายอุ้มบุญตก 750,000 – 1,050,000 บาท ขึ้นกับลักษณะของแพ็กเกจ สามารถกำหนดให้เด็กที่เกิดออกมามีสัญชาติเดียวกันกับหญิงอุ้มบุญ ขณะนายหน้าอุ้มบุญจะชักกำไรจากการติดต่อทำสัญญาถึง 70% เหลือเพียง 150,000 – 270,000 บาท (Vora, K. 2009) สำหรับความร่วมมือเพื่อบริการตั้งครรภ์แทนระหว่างอินเดียและสิงคโปร์ พบว่าประเทศสิงคโปร์มีบริการจัดหา (out-sourcing) มดลูกของผู้หญิงในกลุ่มประเทศอาเซียน
สำหรับประเทศอิสราเอลเป็นประเทศแรกในโลกที่มีกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทนโดยอ้างอิงกับกฎหมายของศาสนาฮีบรู (Teman 2003b) ผู้รับบริการต้องขออนุญาตและข้อตกลงที่ชัดเจน เช่น คู่สมรสที่ต้องการใช้การตั้งครรภ์แบบอุ้มบุญจะต้องเป็นชาวอิสราเอลที่มีศาสนาเหมือนกัน ผู้ให้บริการต้องเป็นหญิงอุ้มบุญจะต้องโสด หย่าร้าง หรือเป็นหม้าย และต้องเป็นคู่สมรสชายหญิง (Heterosexual Marriage) ทำให้กลุ่มคนรักร่วมเพศ (Same-Sex Marriage) ชาวอิสราเอลเลือกที่จะทำการตั้งครรภ์แบบอุ้มบุญนอกประเทศ ซึ่งมีราคาต่ำกว่าถึงหนึ่งเท่าเพียง 990,000 บาทต่อหนึ่งราย
ผู้ศึกษาลงชุมชนนาใหม่ (นามสมมุติ) จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อติดตามผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์เป็นเวลา 4 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน พ.ศ. 2558 โดยรวบรวมเอกสารข้อมูลทะเบียนรับฝากครรภ์จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและโรงพยาบาลอำเภอหล่มสัก สัมภาษณ์ผู้หญิงรับตั้งครรภ์จำนวน 15 คน ระยะเวลาสัมภาษณ์เฉลี่ยคนละ 3-4 ชั่วโมงร่วมกับการสังเกตการณ์ชีวิตประจำวันซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้จัดทำในรูปแบบตารางข้อมูลและแสดงชาติพันธุ์วรรณนาเพศสภาพ
ชุมชนนาใหม่ (นามสมมุติ) เป็นหมู่บ้านอยู่ติดเชิงเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน อยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองราว 25 กิโลเมตร จากข้อมูลสำมะโนประชากรนับเป็นหมู่บ้านที่มีความยากจนเป็นอันดับต้นของอำเภอ พบผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนมีทั้งหมด 17 กรณี ที่ได้คลอดบุตรและมอบบุตรให้แก่คู่สัญญาเรียบร้อยแล้ว จำนวน 12 รายตั้งแต่ช่วงปี 2556 เป็นต้นมา มีผู้หญิงอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์แทนยังไม่คลอดบุตร 5 รายในปี พ.ศ.2557 อยู่กรุงเทพ 4 รายและอาศัยอยู่กับญาติที่พิษณุโลก 1 ราย ผู้หญิงในชุมชนได้รับการชักชวนทำการตั้งครรภ์แทนจากนายหน้านอกชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 จากนั้นได้รับการติดต่อจากคลินิกที่กรุงเทพชื่อ คลินิกออลไอวีเอฟ ย่านเพลินจิต จากเรื่องเล่าประสบการณ์อุ้มบุญของผู้หญิงเหล่านี้ ทางคลินิกได้แนะนำให้ไปฝากครรภ์ที่คลินิกที่กรุงเทพ และมีการจัดทำข้อมูลว่าสามีของพวกเธออยู่ที่กรุงเทพ ต่อมาเมื่อมีผู้หญิงในชุมชนรับตั้งครรภ์แทนมากขึ้น นายหน้าแนะนำผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ฝากครรภ์ว่าเธอไปบริจาคไข่แก่ผู้มีบุตรยากและถูกกฎหมาย หากผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนมีอาการเจ็บป่วยให้โทรศัพท์ปรึกษาหมอประจำคลินิกที่กรุงเทพ กระบวนการรับตั้งครรภ์แทนจะหลีกเลี่ยงการเปิดเผยให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอำเภอและโรงพยาบาลจังหวัดเพชรบูรณ์รับทราบ
“อัลตร้าซาวด์” ภาพทัศนาวัฒนธรรมความเป็นแม่และความทรงจำของร่างกาย
การตั้งครรภ์แทนเป็นเชิงพาณิชย์เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่จัดการ “มดลูก” เป็นพื้นที่เติบโตของตัวอ่อน มีตารางเวลา เครื่องมือการแพทย์และปฏิบัติการตรวจสอบชัดเจนเพื่อให้กำเนิดทารกที่สมบูรณ์ การตั้งครรภ์แทนยังมี 2 รูปแบบ 1. การตั้งครรภ์แทนแท้ (full surrogacy) หรือการตั้งครรภ์แทนจารีต คือใช้ไข่ของแม่แท้ๆ 2. การตั้งครรภ์เทียม (partial surrogacy) คือการใช้ไข่ของผู้หญิงรับตั้งครรภ์ ความแตกต่างดังกล่าวไม่เพียงเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่เข้าจัดการกับร่างกาย “ธรรมชาติ” ของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังมีตัวแปรด้านสถานภาพทางสังคม อายุ พื้นเพ นิสัยใจคอและที่ทางสังคม (habitus) ด้วย
อัลตร้าซาวด์เป็นเทคโนโลยีตรวจสอบการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่มีรหัสภาษาทางการแพทย์ การอัลตราซาวด์เป็นเครื่องมือแสดงภาพวงศาวิทยาเจริญพันธุ์อย่างเป็นระบบ (visual system) แสดงช่วงเวลาการตั้งครรภ์เป็นรายสัปดาห์ทำให้ผู้หญิงหมกมุ่นสนใจประสบการณ์ระดับชีวิตประจำวัน (everyday life) ของตนเอง ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าวเทียบเทียบกับการเป็น “แรงงาน” อารมณ์ของการตั้งครรภ์ ทีแมน (Teman 2003b) ชี้ให้เห็นว่า ผู้หญิงตั้งครรภ์แทนหยิบใช้ประสบการณ์เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อแยกตัวเองออกจากประสบการณ์ตั้งครรภ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการต่อรองเพื่อจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง อัลตร้าซาวด์ทำงานสื่อสารเรื่องราวทางการแพทย์ส่งต่อไปผู้หญิงสองคน (ผู้ประสงค์มีบุตรและผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แทน) เป็นผลผลิตของเรื่องเล่าเทคโนโลยีการแพทย์และประสบการณ์ร่างกายที่ตอกย้ำความเป็นแม่
การทำอัลตร้าซาวด์เป็นเครื่องมือที่สามารถผลสัมฤทธิ์ของการตั้งครรภ์แทนทำให้ผู้หญิงสามารถนิยามความเป็นต้นแบบความเป็นแม่ของเธอ ผู้หญิงตั้งครรภ์แทนจะได้รับการทำอัลตร้าซาวด์เพื่อให้มีเรื่องราว (Narrative) ยืนยันการเจริญเติบโตของไข่ที่ได้รับการผสม ยืนยันว่าเธอจะสามารถปฏิบัติการความเป็นแม่ตามกลไกธรรมชาติ อัลตร้าซาวด์สร้างผัสสะรับรู้ความเป็นแม่ในวิถีการมองภาพ “ตัวอ่อน” ความปรารถนาที่จะเป็นแม่จะถูกเติมเต็มจากการเจริญเติบโตของไข่ที่ย้ายจากส่วนกลางของมดลูกมาสู่การเป็นตัวอ่อน (Sandelowski 1994) อัลตร้าซาวด์สร้างความยินดีปรีดาจากการเสพ “ทัศนา” ความปรารถนาเป็นแม่กับภาพลักษณ์ที่เติบโตของตัวอ่อน ผู้หญิงจะรู้สึกมีส่วนร่วม สัมพันธ์ใกล้ชิดในการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นและนำมาฝังในมดลูกทำให้ผู้หญิงได้รับประสบการณ์จากเทคโนโลยีช่วยตั้งครรภ์โดยตรง หมอได้จัดกระบวนการดังกล่าวทำให้ผู้หญิงที่อยากเป็นแม่นำเอาฟิล์มอัลตร้าซาวด์ตัวอ่อนกลับบ้านเป็นที่ระลึก บางกรณีอาจรู้สึกละอายใจ เพราะอัลตร้าซาวด์ทำให้พวกเธอเป็นอัตบุคคลที่ถูกมองเห็นได้
แม้ว่าอัลตร้าซาวด์เป็นเครื่องมือที่ยืนยันการตั้งครรภ์ของผู้หญิง แต่ร่างกายที่เคยมีประสบการณ์ตั้งครรภ์จะเรียนรู้จากการทำซ้ำ ความทรงจำ เป็นความรู้ที่จัดการร่างกายและอารมณ์ (Psychomotor Learning) และตอบสนองอย่างอัตโนมัติ ช่วงการตั้งครรภ์ในระยะ 1-9 เป็นพัฒนาการของตัวอ่อนที่เติบโต บางรายมีอาการแพ้ท้อง เหนื่อยง่ายหรือง่วง ฟังเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจทารก ในสัปดาห์ที่ 28 เดือน 3-4 ทารกเริ่มเคลื่อนไหวเตะท้องแม่ จากนั้นเป็นการปฏิสัมพันธ์ของแม่และทารกในครรภ์ การส่งผ่านอาหารทางรก การเผาผลาญอาหารเพื่อให้เกิดพลังงานมาก รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกโศกเศร้าแปรปรวนง่าย “ทารกในครรภ์มีตัวตนไม่เหมือนกัน แม้ไม่ใช้ลูกชั้นเอง ชั้นจะรับรู้ได้เค้าหลับ ตื่นนอน กินช่วงไหนในท้องของชั้น” หญิงรับตั้งครรภ์อธิบายความรู้สึกถึงตัวอ่อนในท้องเธอ เหล่านี้เป็น “เรือนกายของประสบการณ์” ที่เครื่องมืออัลตร้าซาวด์ไม่สามารถสแกนออกมาเป็นภาพแทนหรือสื่อสารได้ ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนจึงต้องควบคุมความรู้สึกผูกพันธุ์กับตัวอ่อนในครรภ์ ข้อค้นพบจากกรณีศึกษา ผู้หญิงรับตั้งครรภ์เชิงพาณิชย์ เธอให้ความหมายของลักษณะของไข่ผสมและเจริญเติบโตเต็มที่แล้วว่า “ มันไม่เป็นอะไร ชั้นไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเด็ก พวกเขาเป็นไข่คนอื่น” บางรายคับข้องใจที่หมอปฏิบัติกับเธอราวกับคนป่วย หลายรายบอกว่ามีความกังวลเกี่ยวกับคู่สัญญา หากคนที่ขอบริจาคไข่สื่อสารถามไถ่พวกเธอจะลดคลายความเครียดลงซึ่งพบว่ามีน้อยรายมาก
เรื่องเล่าประสบการณ์มีส่วนร่วมในการตั้งครรภ์ของผู้หญิงมีคุณค่าไม่น้อยกว่าเรื่องเล่าความสำเร็จทางการแพทย์ที่สามารถเพื่อเอาชนะกลไกธรรมชาติของร่างกายและอารมณ์ความรู้สึกให้ตอบสนองต่อการเจริญพันธุ์ข้ามแดน ผู้เชี่ยวชาญจัดการกับหน่วยภาษาของความเป็นแม่ขึ้นมาใหม่ที่แยกการเจริญพันธุ์และความเป็นแม่ออกจากกัน ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แทนมีส่วนร่วมสร้างบทสนทนากับหมอและพยาบาลผ่านเรือนกายประสบการณ์ ตัวบทของความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ฟิล์มอัลตร้าซาวด์ไม่ได้เป็นเครื่องมือช่วยให้เห็นผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ประดิษฐ์เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์แปลกแยกที่เธอสร้างความหมายให้กับงาน แต่อัลตร้าซาวด์เป็นวัตถุความสัมพันธ์ระหว่างนายแพทย์และผู้หญิงรับตั้งครรภ์แทนในช่วงสำคัญที่ยืนยันที่ทางสังคมของผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบทบาทสำคัญต่อพลวัตของกระบวนการวิจัยทางมานุษยวิทยาการแพทย์อีกด้วย
(การตั้งครรภ์แทนในประเทศไทยก่อรูปจากประชุมแพทยสภาครั้งแรก พ.ศ. 2538 ที่มีวาระชี้แจงด้วยเรื่องการทำเด็กหลอดแก้วสำเร็จครั้งแรกในประเทศไทย นายแพทย์ประมวล วีรุฒนเสนเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กผสมเทียมคนแรกของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology : ART) เมื่อปี 2527 ทั้งนี้แพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญการเจริญพันธุ์ยังมีบทบาทสำคัญในกลไกการทำงานของ แพทยสภาที่ทำหน้าที่ออกแบบโครงการตั้งครรภ์แทนทั้งในแง่การส่งผ่านความรู้ทางการแพทย์เฉพาะทาง กฎหมายและรูปแบบบริการการตั้งครรภ์แทน )
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความจากงานวิจัย ผู้หญิงอุ้มบุญ : ชาติพันธุ์วรรณนาของปฏิบัติการสร้าง “ภาพลักษณ์” ของการแพทย์ชีวภาพในประเทศไทย นำเสนอในงานประชุมวิชาการประจำปี 2558 อำนาจไร้พรมแดน : ภาษา วัฒนธรรม การสื่อสารและอำนาจในชีวิตประจำวัน วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม ณ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และตีพิมพ์วารสารวิชาการ
เอกสารอ้างอิง