Skip to main content
sharethis

ศาลทหารรับฟ้องคดีปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญาแล้ว จำเลยเกือบ 20 คนอยู่ในเรือนจำรวมถึงณัฏฐธิดา มีวังปลา แกะรอยจำเลยทั้งสิบกว่าคนพร้อมสนทนากับทนายวิญญัติ ชาติมนตรี ผู้ส่งต่อข้อมูลจากปากคำแหวนและข้อสังเกตเรื่องการทำลายน้ำหนักพยานปากเอก<--break- />

ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน วัย 37 ปี ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลางมาตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา จนครบ 7 ผลัดและอัยการศาลทหารส่งฟ้องไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2558 โดยแจ้งข้อหา ก่อการร้าย, อั้งยี่ซ่องโจร, ใช้และครอบครองอาวุธสงครามโดยไม่ได้รับอนุญาต, พยายามฆ่า

แม้จะมีข้อหาจำนวนมากและล้วนหนักหน่วง แต่เหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อมโยงเธอคือ เธออยู่ในระหว่างเส้นทางการโอนเงินในการจ้างวานการปาระเบิดอาร์จีดี 5 ใส่ลานจอดรถศาลอาญา

เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 7 มี.ค.เจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำการในที่เกิดเหตุได้ 2 คนและขยายผลจาก LINE ไปจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก รวมแล้ว 16 คน และตามข่าวที่ปรากฏยังจับไม่ได้ตามหมายจับอีกหลายราย

ขณะเดียวกันแหวนก็เป็นพยานปากสำคัญในคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม สำคัญขนาดที่อธิบายการตายของทั้ง 6 คนได้แม่นยำ เพราะเป็นพยาบาลอาสาอยู่ในเต๊นท์เดียวกับผู้ตายทั้งหลาย อยู่ห่างจากกมนเกด อัคฮาด หนึ่งในผู้เสียชีวิตเพียง 5 เมตร ทนายความคดีนี้บอกว่าอันที่จริงเธอคือ “ผู้รอดชีวิต”

(อ่านคำให้การแหวนในฐานะพยาน คดี 6 ศพวัดปทุม)

นี่ยังไม่นับรวมข้อกล่าวหาตามความผิดมาตรา 112 ที่ตำรวจแจ้งเพิ่มในภายหลังและมีการเข้าไปสอบปากคำแหวนในเรือนจำเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2558

ย้อนเรื่องราวกลับไปในจุดเริ่มต้น คนใกล้ชิดของแหวนระบุว่า หลังเกิดเหตุปาระเบิด 4 วัน คือในวันที่ 11 มี.ค. แหวนถูกทหารในเครื่องแบบ 2 คน นอกเครื่องแบบ 3 คนควบคุมตัวจากบ้านและไม่มีใครทราบข่าวอีกเลย สองสามวันหลังจากนั้นวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ซึ่งเป็นทนายความที่เกี่ยวข้องกับคดี 6 ศพวัดปทุมด้วย ได้โพสต์เรียกร้องให้ทหารปล่อยตัวแหวน ในเวลานั้นทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพ.อ.วินธัย สุวารี หัวหน้าและโฆษก คสช.ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ผ่านไปได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวแหวนไปให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ กลายเป็นข่าวโด่งดัง ทั้งคู่จึงอธิบายใหม่ว่าเป็นการเชิญตัว ‘น้องแหวน’ มาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกรณีปาระเบิดนี้

ฟังดูเหมือนจะเป็นพยาน แต่ท้ายที่สุดแหวนซึ่งอยู่ในความควบคุมของทหาร 7 วันก่อนปรากฏตัว ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหามากมาย พ่วงด้วยมาตรา112 ซึ่งตำรวจระบุว่าขยายผลจากกลุ่มไลน์ ขณะที่แหวนยืนกรานว่าไม่ใช่ข้อความของเธอ รายละเอียดจะกล่าวต่อไป

ธนชาติ สามีของแหวน เล่าว่า เขาได้รู้จักกับแหวนหลังผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553   มาแล้ว โดยพบแหวนระหว่างที่เธอเข้ามายื่นขอรับค่าชดเชยกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนชาติเข้ามาในช่วงที่แหวนเผชิญมรสุมหนักในชีวิตเนื่องจากเลิกรากับสามีเก่า และต้องให้ลูกทั้งสองอยู่ในความดูแลของสามี นอกจากนี้ยังต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวการติดตาม การคุกคาม เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญของโศกนาฏกรรมครั้งนั้น

“เขาหวาดกลัว ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดช่วงนั้น รู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วก็ยังมีสภาวะบอบช้ำจากเหตุการณ์ พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่องตอนนั้น” ธนชาติกล่าวและว่าช่วงหนึ่งแหวนต้องเข้ารับการบำบัด เพราะไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนได้เนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

“เขาเห็นเหตุการณ์ชัดที่สุด ลูกเกด (กมนเกด อัคฮาด) ที่โดนยิงก็อยู่เต็นท์เดียวกัน เขาเล่าไปก็ยังร้องไห้ไป ศพคนสุดท้าย เขาพยายามเอาคนนี้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์จะเอาไปหาหมอ แต่ไปไม่ได้ มีการยิงสกัดมาตลอด ทั้งที่โรงพยาบาลตำรวจอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม ถ้าส่งโรงพยาบาลทันก็อาจไม่ตาย เขารู้สึกเจ็บใจมากที่ช่วยคนไม่ได้” ธนชาติถ่ายทอดสิ่งที่แหวนเล่าให้เขาฟัง

ถามว่าแหวนเข้าร่วมกับการเมืองอย่างไร ธนชาติเล่าว่า ก่อนหน้าที่เขาจะเจอแหวนในปี 2554 แหวนทำงานเป็นอาสาพยาบาลของโรงพยาบาลวชิระมานานแล้วและมักเข้าไปดูแลผู้ชุมนุมทุกกลุ่มทุกสี ไม่เลือกฝ่าย

“จนปี 2553 เขามาอยู่ในที่ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งชุมนุมกันนาน เขาก็ได้เห็นสภาพว่าเป็นชาวบ้านต่างจังหวัดทั้งนั้น เขาสงสารก็เลยอยู่ช่วยที่นี่ตลอด แล้วก็เลยพลอยคุ้นเคยกับผู้ชุมนุม เขาเองก็เป็นคนอุดรด้วย เลยถูกมองว่าเป็นแดงโดยปริยาย” ธนชาติกล่าว

“เขาตั้งเต๊นท์จ่ายยาสามัญให้ชาวบ้านเองเลยด้วยความสงสาร หมดไปกับม็อบนี้สามสี่แสน เพราะจะไปขอระดมบริจาคจากคนอื่นมันก็ได้ยาก” ธนชาติเล่า ในปี 2554 แหวนเริ่มเดินเรื่องเพื่อขอค่าชดเชยต่อกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพราะหยูกยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายอย่างสูญหาย เสียหายไประหว่างการสลายการชุมนุม

“ทุกวันนี้ผมก็มาเยี่ยมเขาตลอด เกือบจะทุกวัน แรกๆ เขาร้องไห้ตลอด แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว สงสารเขามาก เราพยายามประกันตัวแล้วแต่ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้” สามีของแหวนกล่าว

วิญญัติ ชาติมนตรี เป็นทนายความที่ทำคดีเคียงบ่าเคียงไหล่กับพยานคนสำคัญอย่างแหวนจนกระทั่งศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายระบุว่ากรณี 6 ศพวัดปทุมฯ นั้นกระสุนมาจากฝั่งทหาร (อ่านที่นี่)

วิญญัติตั้งข้อสังเกตว่า การที่แหวนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องการโยนระเบิด แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อทำลายแหวน และทำลายกระบวนการ พยานหลักฐานในคดีไต่สวนการตายทั้งหมด โดยแหวนยืนยันว่าขณะที่ถูกสอบสวนในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่มีการข่มขู่ในเรื่องนี้ด้วย

“หลังจากนี้ผมจะทำเรื่องร้องและหาตัวบุคคลที่เอาแหวนไปสอบ ว่าใครเป็นคนอยู่ในขณะที่สอบทั้ง 7 วัน ใครเอาตัวมา แล้วใครเป็นคนพูดว่า ต่อไปนี้กูจะทำให้มึงเป็นพยานในคดีการตายไม่ได้ เพราะสิ่งที่มึงพูดทั้งหมดจะใช้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ไปแหวนจะโดนหนัก แหวนคิดด้วยซ้ำว่าเขาไม่น่าจะมีชีวิตรอดกลับมา เพราะมีการพูดตั้งแต่วันแรกจนวันที่สองที่สาม แต่เริ่มมีการติดตามการหายตัวไปของแหวน ผมโพสต์เฟซบุ๊กบ้างอะไรบ้าง มีการประโคมข่าวกัน ทหารจึงออกมาปฏิเสธ แต่ไปๆ มาๆ ทนกระแสสังคมไม่ไหวเลยต้องออกมา แล้วแหวนก็ได้ของแถมเลย (คดีปาระเบิดและม.112)” วิญญัติกล่าว

“ขณะที่สอบก็ปิดตาตลอด ให้เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอยู่แต่ก็ปิดตา มีการทำร้ายร่างกายโดยเอาโทรศัพท์ของแหวนทุบหน้าอกครั้งหนึ่ง แหวนร้องไห้เขาเลยหยุด ใช้คำพูดอย่างเดียว แต่การปิดตาตลอดแล้วใช้คำพูดข่มขู่ก็เข้าข่ายทรมานแล้ว” วิญญัติกล่าว

ถามว่าทำไมจึงเห็นว่าแหวนสำคัญกับคดีปี 2553 ถึงเพียงนั้น เขาย้ำอย่างหนักแน่นว่า

“คำพูดแหวนในฐานะพยานเป็นระบบที่สุด เห็นตั้งแต่ศพแรก และพูดถึงแนวกระสุน ผมคิดว่าพยานอย่างแหวนมีความสำคัญสูง ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือ ต้องการข้อเท็จจริงแนวราบ ให้มีกองกำลังแนวราบตามตอม่อยิงเข้าไปในวัด มันเปิดช่องคำพูดของแหวนอยู่นิดนึง ซึ่งถ้าแหวนพลิกนิดหนึ่งก็เปิดโอกาสให้พยานที่เขาเซ็ทไว้เข้ามาได้ สุเทพฯ พูดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เขาพยายามบอกแต่ศาลไม่เชื่อเพราะไม่เห็นภาพ ไม่เห็นวิถีกระสุน แต่มันมีอยู่ศพหนึ่งที่เสียชีวิตจากวิถีกระสุนแนวราบ นอกนั้นล้วนเป็นบนล่าง”

“แหวนเป็นประจักษ์พยาน ระดับพยานปากเอกที่รู้เห็นการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ จริงๆ เรียกว่าเป็นผู้รอดชีวิตก็ว่าได้ เล่าเรื่องราวใกล้ชิดเหตุการณ์ได้มากที่สุดเพราะอยู่ตรงนั้น น้ำหนักของแหวนถือเป็นพยานหนึ่งในไม่กี่ปากที่ศาลรับฟังให้เป็นข้อเท็จจริงยุติได้ว่า การเสียชีวิตของหกศพมาจากแนววิถีกระสุนของเจ้าหน้าที่ทั้งบนรางรถไฟและด้านล่าง และแหวนก็ให้การในลักษณะเป็นโทษกับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทหารระดับสูงและรองนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศอจ.และนายกรัฐมนตรีที่ออกคำสั่ง เป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกินกว่าเหตุตรงนี้”

“แน่นอนว่ามันอาจเปลี่ยนคำพูดของแหวนไม่ได้ในเชิงเอกสารที่มันเป็นที่ยุติไปแล้ว แต่มันสามารถที่จะทำให้พยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนให้ปรากฏ สร้างพยานขึ้นมาใหม่ วิธีการนี้ก็ทำกันเยอะแยะทั่วโลก มันจำเป็นต้องทำลายพยานเก่า แม้จะเกิดขึ้นในภายหลังที่เป็นพยานไปแล้ว แต่น้ำหนักของพยานเหล่านั้นที่เป็นมนุษย์จะมีความมั่นคงน้อยลงไป ถ้าเคยเห็นในคำเบิกความต่างๆ ในศาล สุดท้ายทนายหรืออัยการจะต้องถามว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนหรือไม่ นี่คือความสำคัญของการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ถ้ามีลักษณะอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าเป็นคู่ขัดแย้งกันอย่างนี้ แม้เกิดขึ้นในภายหลังก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของพยานลดน้อยลงได้ มีผลแน่นอน”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของการสร้างสถานการณ์ในหมู่ฝั่งตรงข้ามรัฐและเหตุผลความเป็นมาของปฏิบัติการเหล่านั้น วิญญัติวิเคราะห์ว่า

“คงต้องยอมรับว่า จริงๆ มันมีคนที่อยากจะทำแบบนี้ ที่หัวรุนแรง แต่คนอื่นไม่เอาด้วย เขาก็ทำของเขา มัน กลายเป็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังปี 53 กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปปี 53 ก่อนหน้าปี 53 มันไม่มีอะไรมากนอกจากพลังของประชาชนที่อยากจะมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่หลังปี 53 มา หลังการสลายการชุมนุมด้วยความนรุนแรงของรัฐ มันกลายเป็นพัฒนาการของประชาชนที่ต่อสู้ บางคนมันหัวรุนแรงจริง คับแค้นจริงเขาก็หาทางตอบโต้ และตอนนี้กลายเป็นว่าคนเขียนประวัติศาสตร์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดย้อนไปใหม่ ปี 52-53 พวกมึงก็ทำจริง” วิญญัติอธิบาย

“ดิฉันเป็นเพียงอาสาพยาบาลเบื้องต้น ไม่สามารถฆ่าหรือทำร้ายผู้ใดได้ และที่สำคัญ ดิฉันไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงและขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น” แหวนกล่าวในจดหมายร้องขอความเป็นธรรมฉบับแรกที่ส่งถึงทนายความ

0 0 0 0 0

คดีนี้ไม่ได้มีเพียงแหวนที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำและไม่ได้รับกาประกันตัว หากแต่ยังมีผู้ต้องหารายอื่นที่ถูกจับกุมอีก 16 รายเป็นอย่างน้อย (ชาย 11 คน หญิง 5 คน) ที่อยู่ในเรือนจำ ยกเว้นธัชพรรณ ปกครอง วัย 19 ปี ภรรยาของยุทธนา ผู้ต้องหาคนสำคัญ ซึ่งตั้งครรภ์ 7 เดือนในขณะนั้น และได้รับการประกันตัวหลังจากอยู่ในเรือนจำ 54 วัน อีกรายคือ สมชัย อภินันท์ถาวร วัย 53 ปีพ่อค้าเสื้อผ้าที่รับจ้างโอนเงินที่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวหลังอยู่ในเรือนจำกว่า 70 วัน 

การรวบรวมข้อมูลจากสอบถามตัวผู้ต้องหาบางราย ทนายความที่ได้สอบคำให้การจำเลยหลายราย และญาติผู้ต้องหาบางรายเท่าที่จะสามารถเข้าถึง  เราสามารถจำแนกจากความเกี่ยวพันเบื้องต้นในเหตุการณ์ได้หลายชุด ดังนี้

ผู้ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ 2 ราย (+ 2 ภรรยา) 

มหาหิน ขุนทอง กับ ยุทธนา เย็นภิญโญ ทั้งคู่อายุ 34 ปี กำลังหาอาชีพ อาศัยในห้องเช่าชานเมืองกรุงเทพฯ เขาถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ ยุทธนาเป็นผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ส่วนมหาหินเป็นผู้ซ้อนท้าย โดยยุทธนาถูกยิงหลายนัดได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ก่อนจะถูกนำตัวไปยังเรือนจำเช่นเดียวกับมหาหิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวมหาหินมาแถลงข่าวคนเดียวเพราะยุทธนาได้รับบาดเจ็บ ตำรวจและทหารระบุว่า ทั้งคู่มีอาวุธปืน .357 กระสุนยิงไปแล้ว 6 นัด กลุ่มนี้มีแผนจะสร้างสถานการณ์อีก 100 จุดทั่วประเทศในวันที่ 15 มี.ค. ทั้ง

ข้อขัดแย้งสำคัญประเด็นหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ระบุว่าทั้งคู่มีปืนและยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยทั้งคู่ยืนยันว่า พวกเขาไม่มีอาวุธปืน มีก็เพียงระเบิดลูกดังกล่าวที่ได้มาจากวีระศักดิ์ โตวังจร หรือ ‘ใหญ่ พัทยา’ ที่ยังจับตัวไม่ได้ ในการจับกุมไม่มีการยิงต่อสู้ มีแต่วิ่งหนี และในที่เกิดเหตุนั้นพบว่าเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบได้ดักซุ่มอยู่แล้ว ราวกับเตรียมพร้อมเพื่อการนี้

พ.อ.วินธัยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็น ‘การข่าว’ ของหน่วยงานความมั่นคง ทำให้ทหารไปปักหลักอยู่ที่นั่นเพื่อรอจับกุมได้ทันท่วงที และเกิดการปะทะกันเล็กน้อย

ข้อสงสัยประการหนึ่งในหมู่ผู้ต้องหาคือ ใหญ่ พัทยา ผู้ต้องหารายสำคัญที่ไม่ได้ถูกจับกุมและหายตัวไปหลัง ‘ยุยง’ และอำนวยความสะดวกให้ทั้งคู่ดำเนินการ ทั้งคู่ระบุว่ารู้จักใหญ่ พัทยา ผ่านเฟซบุ๊ก

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงมหาหินและยุทธนาที่ถูกจับกุมตัว แต่เจ้าหน้าทียังจับกุมภรรยาของทั้งสองไปควบคุมตัวในเรือนจำด้วย เนื่องจากทั้งคู่ก็อยู่ในไลน์กลุ่มเดียวกับสามี โดยภรรยาของยุทธนา(ธัชพรรณ) นั้นท้องแก่จึงได้ประกันตัวในที่สุด ขณะที่ภรรยาของมหาหิน (ณัฐฏพัชร์ อ่อนมิ่ง) ยังอยู่ในเรือนจำ 

การประชุมที่ขอนแก่น 6 คน

การประชุมที่ขอนแก่นเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 การประชุมเกิดขึ้นจากกลุ่มไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายการขายตรง สร้างอาชีพให้ผู้ที่สนใจและสามารถนำเงินไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ติดอาวุธทางความคิดได้

ผู้ต้องหาในเซ็ทนี้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด แบ่งเป็น

  1. เจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ
  2. นายณเรศ อินทรโสภา 
  3. นรภัทร เหลือผล หรือ บาส
  4. วิชัย อยู่สุข หรือ ตั้ม
  5. ชาญวิทย์ จริยานุกูล
  6. สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน

นอกเหนือจากเจษฎาพงษ์ที่เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการขายตรงสบู่สมุนไพร และยาสมุนไพร ในครึ่งวันแรก ก็ยังมีชาญวิทย์และสรรเสริญ วิทยากรสูงวัยที่มาบรรยายเรื่องการเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้เข้าร่วมอบรม บรรดาผู้ร่วมอบรมนี้ถูกจับกุมจากเหตุที่อยู่ในไลน์กลุ่มเดียวกับผู้ก่อเหตุทั้งสองคือมหาหินและยุทธนา ซึ่งไลน์ที่ว่าก็มีหลากหลายกลุ่ม มีคนตั้งแต่หลายสิบไปจนถึงไม่กี่คน

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ตั้งต้นจากการรู้จักกันในโซเชียลมีเดีย มีไม่กี่คนที่รู้จักตัวกันจริงๆ จังๆ พวกเขายืนยันว่าตั้งกลุ่มคุยและวิเคราะห์การเมืองในแบบผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองใกล้เคียงกัน และรวมถึงแลกเปลี่ยนช่องทางการทำมาหากิน หรือการจัดกิจกรรมทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ เช่นการอบรมให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ หรือจัดกลุ่มพูดคุยการเมือง

ที่น่าแปลกคือ ชาญวิทย์และสรรเสริญ ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน ไม่ได้อยู่ในกลุ่มไลน์กับใครเขา แต่ก็ถูกจับกุมมาด้วยโดยตำรวจกล่าวหาว่าเขาทั้งสองเป็น ‘ตัวการวางแผน’ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ที่ขอนแก่น หรือวันที่เขาไปร่วมบรรยายเรื่องการเมืองนั่นเอง

กล่าวสำหรับสรรเสริญนั้น เป็นอดีตสหาย มีอาชีพขับแท็กซี่ และมีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 เขาต่อสู้ในแนวทางของรัฐสภา เคยพยายามตั้งพรรคกสังคมประชาธิปไตยในช่วงปี 2553 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ชาญวิทย์ก็เป็นนักเคลื่อนไหวรุ่นใกล้เคียงกัน ทั้งคู่มีลักษณะเป็นปัญญาชนค่อนข้างสูงและมีแฟนคลับให้ความสนใจติดตามศึกษาแนวคิด นรภัทรก็เป็นคนหนึ่งจึงได้ชวนชาญวิทย์มาบรรยายที่ขอนแก่น และชาญวิทย์ก็ได้ชวนสรรเสริญให้มาช่วยบรรยายด้วย

ทั้งสรรเสริญ ชาญวิทย์ นรภัทร และวิชัย ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่าถูกซ้อมระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทหาร โดยเฉพาะสรรเสริญมีร่องรอยการช็อตไฟปรากฏที่ขาและรอยช้ำตามลำตัว (อ่านที่นี่)

การโอนเงิน 7 ราย + 1 ราย 

นั่นคือ สุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์, แหวน, วาสนา บุษดี, สุรพล เอี่ยมสุวรรณ, วสุ เอี่ยมลออ, สมชัย อภินันท์ถาวร, ( +มนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟาน ยังจับกุมตัวไม่ได้)

การโอนเงินที่ตำรวจกล่าวหาว่า ต้นทางคือ เอนก ซานฟราน จนมาถึงผู้ปฏิบัติการ ดูเหมือนจะเลี้ยวลดไปตวัดเอาหลายคนเข้าเกี่ยวข้อง

พ.อ.วิจารณ์ จดแตง  จาก กอ.รมน.แถลงข่าวเรื่องเส้นทางการเงินในวันที่นำตัวเดียร์ส่งให้ตำรวจที่ บช.น. ว่า กลุ่มนี้เตรียมก่อเหตุ 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือน ก.พ.2558 โดยเอนก ซานฟาน ติดต่อทางไลน์กับเดียร์เพื่อจ้างวานสร้างสถานการณ์ 5 จุดในกทม. พบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อแหวน จากนั้นแหวนติดต่อนายสุรพลให้รับงาน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพลยกเลิกภารกิจ จึงดำเนินการอีกเป็นครั้งที่ 2 ในเดือน มี.ค. เดียร์เปลี่ยนไปติดต่อผ่านวิชัยหรือตั้ม และนรภัทรหรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างใหญ่ พัทยา เพื่อไปว่าจ้างมหาหินและนายยุทธนาปาระเบิดที่จอดรถศาลอาญาอีกที 

ขณะที่วิญญัติ ทนายความของแหวนระบุว่า แหวนรู้จักคนกลุ่มนี้ในไลน์ เกือบทั้งหมดไม่เคยเจอตัวกัน ตำรวจอ้างว่าวาสนาโอนเงินให้แหวน แต่แหวนยืนยันว่าไม่รู้จักวาสนา แหวนได้รับการโอนเงินจริง แต่เป็นเงินที่ขอยืมจากสุรพลจำนวน 5,000 บาทเพื่อมาชำระหนี้สินที่ทำร้านซักอบรีด และตัวแหวนเองยืนยันว่าไม่เคยมีแนวคิดสนับสนุนความรุนแรงแต่อย่างใด (อ่านที่นี่)

สำหรับวาสนารู้เพียงคร่าวๆ ว่า วาสนาซึ่งมีอาชีพรับจ้างขายเสื้อผ้าที่ จ.มุกดาหารนั้น รับโอนเงินให้คนอื่นจริงจำนวน 40,000 บาท โดยได้ค่าจ้างจากเดียร์ 200 บาท เหตุที่รู้จักกันเนื่องจากเดียร์เช่าบ้านแม่ของวาสนา

ขณะที่วสุระบุว่าเขาติดต่อสื่อสารทางไลน์กับกลุ่มเป็นร้อยกลุ่มเนื่องจากตัวเองจะนำคลิปรายการที่เขาผลิตไปเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ แต่ไม่เคยโพสต์หรือพูดคุยข้อความที่มีลักษณะสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง สำหรับความสัมพันธ์กับเอนก ซานฟราน นั้นเคยสื่อสารโต้ตอบกันในเรื่องทั่วไปในทางสาธารณะ ไม่เคยคุยหลังไมค์

ส่วนเดียร์ที่วสุและหลายคนรู้จักผ่านโซเชียลมีเดียนั้น ดูเหมือนจะเป็น ‘เดียร์’ ที่ยังสาวและอยู่ต่างประเทศ ต่างจากเดียร์ที่เจ้าหน้าที่จับกุมมา

ส่วนสมชัยวัย 53 ปี  โดนจับที่บ้านพัก เขาระบุว่ามีอาชีพเสริมในการรับจ้างโอนเงินแทนคนในต่างประเทศอยู่แล้ว และดีลนี้มาจากลูกชายของเขาที่ทำงานอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของเอนก ซานฟาน ตัวเขามีอาชีพค้าขายเสื้อผ้ากีฬาและไม่ได้สนใจการเมือง 

0 0 0 0 0

วิญญัติยืนยันว่า จำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องโดยแบ่งเป็นกลุ่ม 14 คน และ 6 คนโดยแหวนอยู่ในกลุ่มหลัง ทั้งหมดถูกฟ้องในข้อหาก่อการร้าย, อั้งยี่ซ่องโจร, ใช้และครอบครองอาวุธสงครามโดยไม่ได้รับอนุญาต, พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมถึงแหวน พยานปากเอกคดี 6 ศพวัดปทุมฯ

“แม้มีเรื่องเกิดขึ้นแบบนี้ เขาก็ยังยืนยันคำพูดเดิมของเขาที่เบิกความต่อศาล แม้มีคนพูดให้เขาเปลี่ยนเขาก็ไม่เปลี่ยน เขาเป็นพยาบาลอาสา มีจิตที่อยากช่วยคนอยู่แล้ว เขาจึงไม่มีความกลัวต่อการที่จะพูดความจริง ในส่วนที่เป็นความจริงที่เขาประจักษ์ ที่เขาเห็น เขาไม่หวั่นไหว” วิญญัติกล่าว

ไม่เฉพาะคดีร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการปาระเบิด แต่แหวนยังถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งสร้างความตระหนกและกังวลใจให้เธออย่างยิ่ง

วิญญัติเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ว่า หลักฐานสำคัญของเจ้าหน้าที่นำมาจากไลน์กลุ่มที่พูดคุยกันไม่กี่คน โดยเจ้าหน้าที่จับกุมบุคคลที่ก่อเหตุได้และบังคับเข้าถึงทุกบัญชีในโลกออนไลน์ กลุ่มไลน์ที่ว่าก็มีหลายห้องจำเลยบางคนอยู่เกือบทุกห้อง บางคนอยู่บางห้อง ในห้องเป็นกลุ่มลับกลุ่มหนึ่งมีสมาชิกคนหนึ่งโพสต์ข้อความคึกคะนองที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112  แหวนแสดงความไม่เห็นด้วยในห้องนั้น แล้วแค็ปหน้าจอที่ปรากฏข้อความนั้นส่งไปถามเจ้าตัวว่าทำไมจึงพูดแบบนี้ แต่สุดท้ายตำรวจกล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวเป็นของแหวน

“มีการใช้ข้อความที่แหวนก็อปข้อความของคนอื่นไปฟ้อง 112 เป็นข้อความในไลน์ หาว่าจะก่อความรุนแรงในที่ที่มิควรอย่างยิ่ง และพยายามบอกว่าพวกนี้คือขบวนการเดียวกัน กำลังจะก่อเหตุ” วิญญัติกล่าวจากสิ่งที่แหวนเห็นขณะถูกกล่าวหา



หมายเหตุ มีการเพิ่มเติมเนื้อหา 18 มิ.ย.2558

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net