ชำนาญ จันทร์เรือง: บริหารบ้านเมืองนั้นไม่ง่าย

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

นับแต่ 22 พฤษภาคม 2557 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 12 เดือนหรือ 1 ปีแล้ว นอกจากการที่ไม่มีม็อบปิดกั้นถนนทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะขัดต่อกฎอัยการศึกต่อด้วยมาตรา 44 และการมีสวัสดิการและค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นของข้าราชการแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นพัฒนาการที่อยู่ในขั้นที่เป็นที่พอใจเลยก็ว่าได้

ปัญหาที่รุมเร้ามีทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาที่สั่งสมมานาน เช่น ปัญหาการบินกับICAO,ปัญหาการหยุดเจรจาFTAหรือการยุติGSPกับใบเหลืองของEU,ปัญหาการค้ามนุษย์,ปัญหาจากการต่อต้านขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและฝ่ายสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ,ปัญหาแรงกดดันจากรัฐบาลต่างประเทศให้คืนอำนาจสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว,ปัญหาเศรษฐกิจที่มาถึงการเผาจริงหลังจากที่เผาหลอกมาระยะหนึ่ง,ปัญหาของการทุจริตคอรัปชั่นที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย,ปัญหาการร่างรัฐธรรมนูญที่ “จัดการงานนอกสั่ง”เสียจนถูกวิจารณ์ว่าจะเป็นชนวนของวิกฤติรอบใหม่,ปัญหาของคนรอบตัวของผู้มีอำนาจที่ไม่กล้าจะให้ข้อมูลจริงและยังปีนเกลียวกินเกาเหลากันทุกวัน มิหนำซ้ำยังให้ข่าวสับสนขัดแย้งกันเอง,ปัญหาการใช้มาตรา  44 อย่างพร่ำเพรื่อ,ที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหาการควบคุมอารมณ์ของตัวผู้นำเอง ฯลฯ

แล้วจะทำอย่างไร

1)หยุดโทษรัฐบาลที่ผ่านๆมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์หรือรัฐบาลที่มาจาก คมช.เพราะระยะเวลาล่วงเข้ามาจะครบปีอยู่แล้ว

2)หยุดอ้างว่าเข้ามาเพราะความจำเป็น การอ้างว่าถ้าไม่เข้ามาแล้วผู้คนจะพากันเข่นฆ่ากันเองนั้นเป็นเพียงสมมุติฐาน เพราะผู้คนที่บาดเจ็บล้มตายของทั้งฝ่ายนั้นไม่ได้เกิดจากฝีมือของประชาชนคนธรรมดาแต่อย่างใด ส่วนจะอ้างว่าเข้ามาตามคำเรียกร้องก็คงมาจากส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เขาเหล่านั้นกำลังกลืนเลือดและกัดลิ้นตัวเองอยู่

3)หยุดการคุกคามสิทธิเสรีภาพของการแสดงออกของประชาชนและนักศึกษาคณาจารย์ โดยให้เหตุผลว่าการแสดงออกมีนัยทางการเมืองซึ่งในทางรัฐศาสตร์แล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองเกือบทั้งสิ้น แม้แต่การปฏิวัติรัฐประหารเองก็เป็นการเมืองโดยแท้ การปล่อยให้มีการแสดงออกจะเป็นการผ่อนคลายเหมือนกับการระบายของกาน้ำร้อน หากไม่รูระบายผลที่ตามมาก็ย่อมคาดหมายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่กาน้ำนั้น

4)หยุดเนื้อหาของร่างรัฐรัฐธรรมนูญที่ “เหาะเหินเกินลงกา”(จำมาจากคุณวิษณุ)หรือ “จัดการงานนอกสั่ง”(จากกฎหมายแพ่ง)แล้วเน้นเฉพาะที่เป็นประชาธิปไตยดั่งนานาอารยประเทศทั้งหลาย จะเอาแบบไหนก็เอาสักอย่าง จะเลือกตั้งทางตรงหรือทางอ้อมอย่างไรก็ว่ามา แต่ต้องให้ยึดโยงกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างมาเพียงสนองตัณหาทางวิชาการเท่านั้น

5)หยุดการใช้มาตรา 44 อย่างพร่ำเพรื่อหรือเลิกไปเลย เพราะหากมีการใช้กฎหมายที่ครอบคลุมถึงทั้งสามอำนาจอธิปไตยในบุคคลคนเดียวได้ผล เกาหลีเหนือคงเป็นมหาอำนาจไปนานแล้ว(ขอยืมคำอาจารย์กานดามาใช้หน่อยนะครับ)

6)หยุดทิฐิมานะในการแก้ไขปัญหา เช่น การที่จะต้องให้สลากกินแบ่งขายในราคา 80 บาทให้ได้หรือห้ามการนำหวยมารวมกันเพราะทำให้ราคาแพงขึ้น ซึ่งผมมองว่าราคาไม่ใช่ปัญหา เพราะคนซื้อก็เพราะอยากซื้ออยากรวย คนขายหากขายไม่ขาดทุนก็ยินดีขาย ประเด็นมันอยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะแก้การผูกขาดหรือการเป็นเสือนอนกินของยี่ปั๊วซาปั๊วมากกว่า เมื่อได้ราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนกับกำไรเท่าไหร่แล้วราคาหน้าสลากจะเป็น 90 หรือ 100 หรือ 110 บาทไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ซื้อ

หยุดทิฐิมานะที่จะต้องทำความปรองดองให้สำเร็จซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะการปรองดองเกิดจากใจ มิใช่เกิดจากการบังคับ เมื่อใดมีใจตรงกันหรือประโยชน์พ้องต้องกันก็จะปรองดองกันเอง เพราะไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมืองนั่นเอง ไม่เชื่อลองปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญฯฉบับที่เสนอสปช.ออกไปโดยไม่มีการแก้ไขปรับปรุงเลยดูสิครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

7)หยุดรบกวนเวลาพักผ่อนของชาวบ้านชาวช่องในคืนวันศุกร์ เพราะชาวบ้านไม่ใช่ทหารเกณฑ์ที่จะต้องให้ “จ่าโม้” ยืนอบรมอยู่หน้าแถว หากคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารโดยตรงไปยังประชาชนก็ไปใช้เวลาในช่วงเช้าวันเสาร์หรืออาทิตย์ก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆก็เปิดให้โฟนอินเข้าไปเลย เอาให้เต็มที่ กี่ชั่วโมงก็ไม่ว่ากัน เพียงแต่อย่าไปบังคับใครให้ถ่ายทอดสดก็แล้วกัน เพราะคนที่สนใจการบ้านการเมืองอย่างผมก็ต้องตามไปฟังอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่ฟังมันก็ไม่ฟังอยู่ดี หากทำได้อย่างที่ผมว่าเรทติ้งก็ย่อมที่จะดีวันดีคืนอย่างแน่นอน ไม่ตกรูดอย่างเช่นทุกวันนี้

8)หยุดอุ้มพรรคพวกที่ไร้ฝีมือเสียที การบริหารบ้านเมืองไม่ใช่การออกไปรบทัพจับศึกที่จะต้องไปด้วยกันมาด้วยกัน โละรัฐมนตรีที่โลกลืมหรือที่ไร้ฝีมือออกไปเสียบ้าง คนเข้าสู่อำนาจผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ประเทศชาติและประชาชนยังคงต้องอยู่ต่อไป ถ้ายังขืนอุ้มกันอยู่อย่างนี้ปีหน้าและปีต่อๆไปคงต้องมีพิธีผู้ใหญ่ขอขมาเด็กกันอีกเป็นแน่

การบริหารบ้านเมืองนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีแต่ความรู้อย่างเดียวแต่ไม่มีศิลป์ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นก็ต้องเอานักวิชาการอภิมหาปราชญ์ไปบริหารบ้านเมืองกันหมด มีศิลป์อย่างเดียวแต่ไม่มีศาสตร์ก็ทำไม่ได้ ถึงทำได้ก็พังมาแล้วตัวอย่างมีให้เห็นชัดๆว่ามีศิลปะในการบริหารงานที่ขึ้นชื่อในหลายๆโครงการแต่ก็ต้องตกเก้าอี้เพราะไม่เข้าใจศาสตร์ของการใช้อำนาจ

อ้าว ถ้าไม่มีทั้งศาสตร์และศิลป์แต่มีปืนล่ะ  ก็ได้นะ แต่ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ประวัติศาสตร์การเมืองไทยและการเมืองโลกสอนเราไว้แล้วว่า การใช้ปืนบริหารบ้านเมืองโดยไม่มีทั้งศาสตร์และศิลป์นั้นจบลงอย่างน่าสยดสยองเพียงใด

 

หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 29 เมษายน 2558

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท