สี่ศพทุ่งยางแดง: เมื่อความจริงเป็นจุดเริ่มต้นของความยุติธรรม

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุรุนแรงที่สั่นสะเทือนความรู้สึกและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวางนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่   แต่หากนับตั้งแต่หลังการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม  2557ที่ทหารเข้ามากุมบังเหียนการปกครองประเทศ รวมทั้งคุมทิศทางนโยบายการแก้ปัญหาภาคใต้ด้วยแล้ว ครั้งนี้นับเป็นการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นครั้งแรก

นับตั้งแต่ปี 2553– 2557  มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในภาคใต้ 10 คณะ   กรณีที่จดจำกันได้ดีคือการเสียชีวิตในค่ายทหารของนายสุไลมาน แนแซ  (แต่งตั้ง 22 มิ.ย. 2553) กรณีการกราดยิงชาวบ้านในรถกะบะที่ต.ปุโล๊ะปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี   (แต่งตั้ง 4 ก.พ. 2555) กรณีสุดท้ายก่อนการรัฐประหารที่มีการตั้งคณะกรรมการฯ คือกรณีการกราดยิงครอบครัวนายเจ๊ะมุ  มะมันที่อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส (แต่งตั้ง 6 ก.พ. 2557)

มีอะไรที่เราจะเรียนรู้ได้จากอดีต ?

คณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงที่มีการตั้งขึ้นเฉพาะกิจนี้ ในภาษาอังกฤษมักเรียกกันว่า Fact-Finding Mission  หรือ Commission of Inquiry (COI)   COI เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกคณะกรรมการค้นหาความจริงที่ตั้งขึ้นโดยสหประชาชาติ   ซึ่งมีการตั้ง COI ขึ้นมากกว่า 30 คณะในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2448 - 2555   COI นั้นหมายถึงคณะกรรมการค้นหาความจริงที่มิใช่กลไกของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจในสถานการณ์ความขัดแย้งเพื่อสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงและประเด็นเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ในกรณีของภาคใต้  การตั้งคณะกรรมการนั้นอยู่ในระดับท้องถิ่น กล่าวคือตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในภาคใต้  ที่ผ่านมาคณะกรรมการถูกตั้งขึ้นโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใต้ ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.)  ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ สภาที่ปรึกษาฯ ของศอ.บต.  ผู้เขียนได้ศึกษาคณะกรรมการเหล่านี้เมื่อปีที่ผ่านมา(ด้วยความสนับสนุนจากมูลนิธิเอเชีย)  โดยมีข้อสรุปในงานวิจัยคือ กลไกการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งหลายๆกรณีนั้นเกิดขึ้นได้ยากในกลไกการสืบสวนสอบสวนปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  โดยเฉพาะหากการกระทำนอกกฎหมายนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลที่ทำงานให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ วัตถุประสงค์หลักของการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ผ่านมาคือการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเพื่อลดความรู้สึกไม่เป็นธรรมแม้ว่าบางคณะกรรมการจะมีข้อเสนอในเชิงนโยบาย  แต่ก็มักจะไม่ได้ถูกผลักดันให้เป็นจริง  

งานวิจัยยังพบว่าแม้ว่ากลไกนี้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม  แต่ว่าสามารถจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาว่ากระทำผิดเพื่อเป็นการขจัดวัฒนธรรมผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ  (impunity) แต่น่าเสียดายว่าผู้ที่ถูกระบุในรายงานของคณะกรรมการฯ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำเกินกว่าเหตุหรือกระทำการนอกกฎหมายมักไม่ถูกดำเนินคดีอาญาในศาล มีกรณีเดียวที่เรื่องไปถึงชั้นศาลคือกรณีอาสาสมัครทหารพราน 2 นายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกราดยิงครอบครัวมะมัน  แต่ศาลชั้นต้นเพิ่งตัดสินยกฟ้องไปเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาบนฐานว่าหลักฐานไม่เพียงพอ   นอกจากนี้   รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน   จึงทำให้เสียโอกาสที่จะใช้กรณีเหล่านี้เป็นบทเรียนในการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต 

หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมคนมลายูมุสลิม 4คนในระหว่างการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่บ้านโต๊ะชู ต.พิเทนอ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานีเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมาก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าผู้เสียชีวิตเป็นผู้บริสุทธิ์   ทางนายวีรพงค์ แก้วสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา  (ดูคำสั่งแต่งตั้ง ที่นี่)  โดยมีนายเถกิงศักดิ์ ยกศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีเป็นประธานกรรมการและมีกรรมการอีก 14 คน   นอกจากตัวแทนของทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองแล้ว  ในบรรดากรรมการก็มีผู้นำศาสนา นักวิชาการ นักแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ผู้นำท้องถิ่น (ซึ่งน่าจะเป็นตัวแทนของชาวบ้านด้วย) โดยคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการรวมรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนอข้อสรุปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีทราบภายใน 7 วัน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตัวแทนคณะกรรมการฯ ได้แถลงผลการดำเนินงานหลังสรุปรายงานจำนวน 17 หน้าซึ่งยังไม่มีการเปิดเผย  (ดูใบแถลงข่าว ที่นี่)  ในใบแถลงข่าว  คณะกรรมการได้ประมวลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือมีคน 3 กลุ่มไปที่บ้านที่กำลังก่อสร้างซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ  ได้แก่ กลุ่มคนงานก่อสร้างบ้าน  กลุ่มที่เข้าเจรจาค่าเสียหายเรื่องรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุและกลุ่มคนที่เข้าไปมั่วสุมเพื่อเสพยาเสพติด  ในเวลา 17.00 น. ได้มีกองกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษช่วยส่วนรวม (นปพ.ช่วยส่วนรวม) เข้าปิดล้อมตรวจค้นที่เกิดเหตุและควบคุมตัวบุคคลทั้งสามกลุ่ม รวม 22 คนโดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ในขณะปิดล้อมตราวจค้น มีคน 5 คนได้วิ่งหลบหนี  โดยเจ้าหน้าที่ได้วิ่งไล่ตาม  ต่อมามีการใช้อาวุธปืนฆ่ากันตายที่บริเวณสวนยางพาราห่างจากบ้านหลังดังกล่าว 300 เมตร  ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คนคือนายคอลิด สาแม็ง นายมะดารี แมเราะ  นายซัดดัม วานุ และนายสูไฮมี  เซ็น  มีการตรวจพบอาวุธปืนและวัตถุระเบิดหลายอย่างตกอยู่ข้างศพผู้ตายที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าได้กระทำวิสามัญฆาตกรรมแหล่งข่าวในหน่วยความมั่นคงให้ข้อมูลนปพ. ช่วยส่วนรวมเป็นการประกอบกำลังกันระหว่างเจ้าหน้าที่กรมทหารพรานที่ 41 และชุดสืบคดีสำคัญของศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้

คณะกรรมการสรุปจากการตรวจสอบพยานหลักฐานว่า หนึ่งผู้ตายทั้ง 4 คน ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุรุนแรงและไม่ใช่แนวร่วมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงแต่อย่างใด  สองจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้ชอบด้วยเหตุผลในการปฏิบัติการและสามคณะกรรมการไม่สามารถวินิจฉัยในประเด็นการต่อสู้กับเจ้าพนักงาน โดยให้เป็นหน้าที่ของการแสวงหาพยานหลักฐานในชั้นกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่คณะกรรมการมีความเห็นน่าเชื่อว่าอาวุธปืนของกลางไม่ได้เป็นของผู้ตายตั้งแต่เริ่มต้น

คณะกรรมการมีข้อเสนอหลัก 2 ประการคือ หนึ่ง เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการวิสามัญฆาตกรรมจะต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย  และ สอง ให้มีการเยียวยาโดยเร็ว   นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีข้อเสนอเชิงนโยบาย 5 ข้อซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการข่าวของฝ่ายความมั่นคง  การดำเนินการทางการบริหารและอาญาในกรณีที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีการปฏิบัติการผิดพลาดและควรให้มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน

ในการแถลงข่าว แม่ทัพภาคที่สี่ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ ได้กล่าวขออภัยต่อ “เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น” เขาบอกว่าเหตุรุนแรงในพื้นที่เกิดได้จากสองฝ่าย คือหนึ่งฝ่ายที่ต้องการกระทำความรุนแรง สองฝ่ายผู้ถืออาวุธที่ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งอาจผิดพลาดได้จากหลายอย่าง เช่นหวาดกลัว เข้าใจผิด

หากฟังเผินๆ ก็เหมือนว่าแม่ทัพภาคสี่ได้ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ว่าอ่านอย่างละเอียดแล้ว พล.ท.ปราการไม่ได้ยอมรับแต่อย่างใดว่าเจ้าหน้าที่ในอาณัติได้ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด  เขาบอกเพียงว่าความรุนแรงนั้นอยู่ในกรอบกฎหมายหรือไม่ต้องให้เป็นเรื่องของกระบวนการ ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ นั้นก็ยังไม่ได้มีผลใดๆ ในทางกฎหมาย   ส่วนนายภาณุ อุทัยรัตน์  เลขาศอ.บต. ก็ได้มอบเงินเยียวยาให้กับญาติผู้เสียชีวิตรายละห้าแสนบาท (ซึ่งเป็นอำนาจของเลขาฯ ศอ.บต. ที่ดำเนินการได้ทันทีตามระเบียบกพต.ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย และผู้ได้รับผลกระทบอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555)

หากมองคณะกรรมการนี้  โดยเปรียบเทียบกับคณะกรรมการที่ผ่านๆ มา ผู้เขียนมีข้อสังเกตดังนี้

1.กรอบการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้สั้นมาก    แม้ในคณะกรรมการกรณีปุโล๊ะปุโยที่มีกรอบเวลาสั้นที่สุดยังมีเวลาถึง 45 วัน  การเร่งรีบที่จะปิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำให้คณะกรรมการไม่มีเวลาพิจารณาประเด็นที่ซับซ้อนซึ่งเป็นหัวใจของการคลี่คลายว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงนั้นเกินกว่าเหตุหรือไม่  ดังที่คณะกรรมการเองได้อธิบายไว้ในใบแถลงข่าวว่า  “เหตุการณ์ที่เป็นเหตุให้มีการเสียชีวิตทั้ง 4 ราย ...ในบริเวณป่าสวนยางพารา มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ ประกอบกับคณะกรรมการมีเวลาจำกัดในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพียง 7 วัน จึงไม่สามารถหาประจักษ์พยานอื่นใดมาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการได้ ส่วนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ระบุเขม่าดินปืนที่มือผู้ตาย และที่อาวุธปืนของกลาง ไม่มีหลักฐานบ่งชี้เชื่อมโยงระหว่างผู้ตายกับอาวุธปืนอย่างชัดเจนและยังมีความเคลือบแคลงในบางประเด็น” (เน้นโดยผู้เขียน)

2.องค์ประกอบของคณะกรรมการนั้นมีตัวแทนที่หลากหลายและมีความเป็นอิสระจากเหตุการณ์พอสมควร   เช่น ผู้นำศาสนา  นักวิชาการ และผู้แทนของภาคประชาสังคม  ซึ่งทำให้คณะกรรมการมีความน่าเชื่อถือ  แต่หากมีการเพิ่มกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการตรวจสอบข้อเท็จจริง  โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้เรื่องนิติวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นอิสระจะทำให้การทำงานของคณะกรรมการมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ในหลายๆ กรณีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร

3.แม้คณะกรรมการจะสนับสนุนให้มีการเปิดเผยรายงานฉบับเต็ม  แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการจะยินดีดำเนินการหรือไม่  ซึ่งดูมีท่าทีที่ไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียด    บทเรียนที่ผ่านมาในคณะกรรมการชุดก่อนๆ คือ มีการเผยแพร่รายงานน้อยมากทำให้สังคมไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้และสร้างมาตรการในการป้องกันไม่ให้ซ้ำรอยข้อผิดพลาดเดิมๆ 

4.แม้ว่าวันนี้สังคมได้กดดันให้มีการแสวงหาความจริงเพื่อทำให้ผู้บริสุทธิ์พ้นจากมลทินได้ระดับหนึ่ง    แต่ว่าผู้เกี่ยวข้องควรจะต้องร่วมกันผลักดันต่อไปเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ     และไม่ควรยอมให้เรื่องนี้จบไปด้วยการเยียวยาด้วยตัวเงินอย่างที่มักจะเป็นไปในครั้งก่อนๆ   หากทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่สำคัญในเรื่องของการเคารพสิทธิมนุษยชนในบริบทของภาคใต้ การให้การคุ้มครองทางกฎหมายกับเจ้าหน้าที่อย่างหละหลวมเป็นการเอื้อให้เกิดการลุแก่อำนาจ  

5.เงื่อนไขทางกฎหมายสำคัญอันหนึ่งที่เกื้อหนุนให้เกิดการใช้อำนาจอย่างล้นเกินคือการบังคับใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ  ในมาตรา 17 ของพ.ร.ก. นี้ระบุว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย  หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น”  โดยได้ระบุด้วยว่า “ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่”   มาตรานี้ได้ถูกใช้เป็นเกราะอันแข็งแรงทางกฎหมายในการป้องกันการดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ที่สังหารผู้บริสุทธิ์  จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่  สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งขึ้นคือมาตรานี้ได้ถูกหยิบยืมไปในใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44  ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ษ. 2558 เป็นต้นมา    จากภาคใต้  ในขณะนี้ข้อกฎหมายนี้ได้ถูกบังคับใช้ไปทั่วประเทศแล้ว

6.การใช้อาสาสมัครทหารพรานในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างในภาคใต้มักจะก่อปัญหามากกว่าแก้ไขปัญหา อย่างน้อยสองกรณีที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้คือ กรณีปุโล๊ะปุโย และกรณีเจ๊ะมุ มะมันเกี่ยวข้องกับทหารพราน   เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอีกครั้งถึงปัญหาในเชิงนโยบายของกองทัพที่เลือกที่จะใช้ทหารพรานเพื่อทดแทนทหารอาชีพ (ดูรายงานเรื่อง “ปัญหาของกองกำลังทหารพรานและอาสาสมัครชาวบ้าน”  โดยอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปที่นี่)  การจัดจ้างคนภายนอก (outsource) ในงานความมั่นคงที่ภาคใต้มีแต่จะทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น

การแถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะเป็นเพียงหนึ่งมาตรการในการทำสงครามข่าวสาร (Information Operation) ของฝ่ายทหารหรือไม่   และจะเป็นเพียงการ “ยิง ตาย จ่ายจบ” เท่านั้นหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับว่าภาคสังคมจะมีพลังและความมุ่งมั่นที่จะตามติดในการนำเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษแค่ไหนเพียงไร   ความจริงเป็นจุดเริ่มต้นของความยุติธรรม  แต่สิ่งนั้นอาจต้องต่อสู้ยืนหยัดอย่างยาวนานจึงจะได้มา

 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน รุ่งรวี  เฉลิมศรีภิญโญรัชเป็นนักวิจัยอิสระซึ่งกำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย  เธอเขียนหนังสือเรื่อง “ถอดความคิดขบวนการเอกราชปาตานี” และ “เส้นทางกระบวนการสันติภาพปาตานี”

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท