วันที่ 8 เม.ย.2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ออกใบแจ้งข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 ศาลอาญา ห้องพิจารณา 905 มีการไต่สวนคดีชันสูตรศพ หมายเลขคดีดำที่ อช.9/2557 คดีดังกล่าวเป็นกรณีที่นายสุรกริช ชัยมงคล อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีกรณียิงนายสุทิน ธราทิน แกนนำประท้วงขัดขวางการเลือกตั้งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 26มกราคม 2557 และต่อมานายสุรกริช ชัยมงคล หลังถูกจับกุมเมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2557 โดยอำนาจกฎอัยการศึก และถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2557 ต่อมาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครโดยผิดธรรมชาติและไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน
ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมายในการเป็นทนายผู้คัดค้านในคดีไต่สวนการตาย โดยญาติต้องการขอความเป็นธรรมและเรียกร้องให้มีการค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริง เนื่องจากก่อนเสียชีวิตนายสุรกริชมีสภาพร่างกายที่แข็งแรง อีกทั้งสภาพศพและร่องรอยตามเนื้อตัวร่างกายของนายสุรกริชที่มีบาดแผลตามร่างกายหลายแห่งและเสียชีวิตกระทันหัน ญาติจึงติดใจในสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าวทำให้เป็นที่สงสัย
ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมพบว่าการสืบสวนสอบสวนกรณีการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวในคดีนายสุรกริช ชัยมงคล มีความล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ และอาจมีการปกปิดไม่เปิดเผยข้อเท็จจริง
ในวันที่ 2 เมษายน 2558 ศาลอาญา ถ.รัชดาได้เปิดห้องพิจารณาไต่สวนคดีโดยมีการรับฟังพยานจำนวน 3 ปาก ได้แก่ นางอารีย์ ชัยมงคล มารดาของนายสุรกริช นายเสวียน แสงพันธ์ ขณะเกิดเหตุเป็นหัวหน้าฝ่ายควบคุมผู้ต้องขัง แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และนักโทษชายรายหนึ่งที่อยู่ในแดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพซึ่งเป็นแดนเดียวกันกับผู้ตาย
มารดานายสุรกริชได้ยื่นคำร้องขอเข้าซักถามพยานและนำพยานเข้าสืบ โดยแต่งตั้งทนายความเป็นผู้แทนในวันดังกล่าวด้วย ภายหลังสืบพยานทั้ง 3 ปากแล้ว ทนายความได้แถลงขอให้ศาลเลื่อนไปสืบพยานแพทย์ผู้ที่ทำการชันสูตรพลิกศพ และพนักงานสอบสวน ในนัดหน้า เนื่องจากเป็นพยานปากสำคัญที่จะให้รายละเอียดเพื่อระบุสาเหตุการตายและใครทำให้ตายตามหลักมาตรา 150 และ 151 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการไม่คัดค้าน ศาลจึงนัดไต่สวนในวันที่ 21 พฤษภาคม 2558
การเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวรวมทั้งการเสียชีวิตในเรือนจำเป็นสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่คณะกรรมการต่อต้านการทรมานขององค์การสหประชาติให้ความสำคัญ โดยระบุในข้อสังเกตเชิงสรุปลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ว่า “คณะกรรมการฯรู้สึกเสียใจที่ยังขาดข้อมูลที่ครอบคลุมและที่มีการจำแนกประเภทการร้องเรียน การสอบสวน การดำเนินคดี และการตัดสินโทษกรณีการกระทำทรมานและการประติบัติที่โหดร้าย โดยเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และข้อมูลการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว วิสามัญฆาตกรรม การบังคับให้สูญหาย ความรุนแรงทางเพศ และการค้ามนุษย์ รัฐบาลไทยควรรวบรวมข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการปฏิบัติตามอนุสัญญาในระดับชาติ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการร้องเรียน การสอบสวน การดำเนินคดี และการตัดสินลงโทษกรณีการกระทำทรมานและการประติบัติที่โหดร้าย การเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว การวิสามัญฆาตกรรม การบังคับให้บุคคลสูญหาย ความรุนแรงอันมีทางเพศ การค้ามนุษย์ และข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการชดเชย การชดใช้และการฟื้นฟูเยียวยาให้กับผู้ประสบการกระทำทรมาน เมื่อรวบรวมแล้วพึงส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังคณะกรรมการฯ”
ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมพบว่าการสืบสวนสอบสวนกรณีการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวในคดีนายสุรกริช ชัยมงคล มีความล่าช้า ขาดประสิทธิภาพ และอาจมีการปกปิดไม่เปิดเผยข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่า มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในคืนวันที่ 27 สิงหาคมในเรือนนอน และเวลาเช้าก่อนส่งตัวเข้ารับการรักษาพยาบาลภายในเรือนจำในวันที่ 28 สิงหาคม 2557 และรวมทั้งขาดข้อมูลที่โปร่งใสตรวจสอบได้ในเรื่องผลการรักษาพยาบาลทั้งในหน่วยพยาบาลภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งพบว่านายสุรกริชเสียชีวิตในเวลา 17.20 น. การชันสูตรศพและการไต่สวนการตายในชั้นศาลที่ขาดข้อเท็จจริงที่เป็นอิสระมักจะไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตในเรือนจำได้ และไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและญาติได้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเรียกร้องให้พนักงานสอบสวนและรวมทั้งกรมราชทัณฑ์ได้กำหนดให้มีหลักเกณฑ์การสืบสวนสอบสวนกรณีการเสียชีวิตในเรือนจำโดยพลัน อย่างเป็นอิสระ และมีประสิทธิภาพในทุกกรณี เพื่อเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เสียชีวิตในเรือนจำด้วยเหตุว่ามีละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น รวมทั้งเพื่อให้ญาติได้เข้าถึงวิธีการชดเชย การชดใช้และการฟื้นฟูเยียวยาอย่างเหมาะสมและเพียงพอ อีกทั้งหากปรากฏว่ามีผู้กระทำความผิดหรือมีส่วนในการทำให้ผู้ต้องขังเสียชีวิตจะต้องมีการนำคนผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม โดยไม่ให้กระทำการละเมิดและผู้รับผิดกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงดังกล่าวลอยนวล
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)