Skip to main content
sharethis

20 มี.ค. 2558 ศาลทหารลงโทษจำคุก 3 ปี คดีนายโอภาส อายุ 67 ปี เขียนผนังห้องน้ำห้างสรรพสินค้า ผิดมาตรา 112 จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษจำคุกลงกึ่งหนึ่งเหลือ 1 ปี 6 เดือน

คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่ศาลทหารลงโทษเบาที่สุด และเป็นการพิจารณาโดยเปิดเผย ผู้สังเกตการจากองค์การสหประชาชาติ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศและญาติ สามารถเข้าฟังได้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้จดบันทึก สำหรับกระบวนการพิพากษา ตุลาการอ่านคำฟ้องโจทก์ให้จำเลยฟังแล้วสอบถามว่าเข้าใจตามฟ้องของโจกท์หรือไม่ จำเลยรับว่าเข้าใจ จากนั้นศาลจึงสอบถามว่าจะให้การอย่างไร จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัติย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษที่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ตามที่จำเลยยื่นคำร้องให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยพร้อมทั้งได้แนบหนังสือรับรองความประพฤติและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาด้วย ส่วนนี้ศาลได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลยแล้วเห็นว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งประชาชนเคารพเทิดทูน จึงเป็นการกระทำต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรง ยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย และศาลได้ลงโทษจำเลยสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคำขอของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษ

โอภาสถูกคุมขังมาแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.2557 โดยเจ้าหน้าที่ของห้างซีคอนสแควร์เป็นผู้นำตัวส่งทหาร หลังเขายอมรับและเสียค่าปรับฐานทำห้องน้ำห้างสกปรก 2,000 บาท ต่อมา พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ (ยศในขณะนั้น) ได้นำตัวโอภาสมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กองบังคับการปราบปรามก่อนนำตัวไปขอฝากขังที่ศาลทหาร และถูกคุมขังมาจนปัจจุบัน

ทนายความผู้ต้องหาเคยยื่นประกันตัวทั้งสิ้น 4 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลว่า เป็นคดีร้ายแรงและเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง โดยในครั้งล่าสุดทนายยื่นประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เดิม พร้อมเหตุผลประกอบด้านปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นโรคเส้นเลือดในจอรับภาพบวมซึ่งอาจแตกและทำให้ตาบอด ซึ่งโดยปกติผู้ต้องหาต้องพบแพทย์ทุก 2-3 เดือนหากพบว่ามีอาการจะยิงเลเซอร์เพื่อทำการรักษา ซึ่งศาลมีคำสั่งว่า ผู้ต้องหามีสิทธิไดรัการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดอาการอยู่แล้ว ข้ออ้างจึงฟังไม่ขึ้น และศาลเคยมีคำสั่งไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อนแล้ว ไม่มีเหตุให้กลับคำสั่ง

เฟซบุ๊กของไอลอว์ ซึ่งเป็นองค์กรเก็บข้อมูลคดีที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกระบุข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ผู้ถูกจับกุมมีอาชีพขายของเบ็ดเตล็ด มีบุตรสาว 1 คน และไม่ได้เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่นิด้าตามที่เป็นข่าว ปกติเขาเป็นกำลังหลักในการหารายได้ของครอบครัว ผู้ต้องหาไม่ทราบมาก่อนว่าจะถูกนำตัวมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และมีความกังวลอย่างยิ่งที่ข้อมูลส่วนตัวจะปรากฏต่อสาธารณะเพราะกลัวว่าจะถูกรังเกียจจากคนรอบตัวหลายคนที่ไม่เคยรู้ทัศนคติทางการเมืองมาก่อนและได้รับผลกระทบทางสังคมจากการตกเป็นผู้ต้องหาคดีนี้ ไอลอว์ระบุด้วยว่า เขาถูกพาไปสอบสวนที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในวันที่ถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ทหารได้ถ่ายภาพข้อความที่ปรากฏอยู่บนฝาผนังห้องน้ำมาให้ดูและต้องการให้เซ็นรับสารภาพว่าเป็นคนเขียน หลังจากนั้นจึงถูกส่งตัวมาคุมขังอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. โดยอาศัยอำนาจกักตัวตามกฎอัยการศึก โดยที่ยังไม่ถูกสอบปากคำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาได้พยายามติดต่อคนรู้จักที่เป็นทนายความเพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความ แต่ไม่มีใครยอมช่วยเพราะเป็นคดีที่มีข้อหาร้ายแรงทางการเมือง

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net