Skip to main content
sharethis

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ร่อน จม.เปิดผนึกถึงประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ค้านประหารชีวิต 11 นักโทษคดียาเสพติด-ฆาตกรรม ชี้อาจเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานสิทธิฯ ระหว่างประเทศ เผยมีอย่างน้อย 2 ใน 11 คนอยู่ระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลสูง และกังวลว่าบางรายอาจเข้าไม่ถึงการอุทธรณ์ต่อศาลสูง

เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2558 ซาลิล เช็ตติ เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ของอินโดนีเซีย แสดงความกังวลที่มีต่อการประหารชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติอย่างน้อย 11 คน ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฆาตกรรม

"หากอินโดนีเซียเดินหน้าประหารชีวิตบุคคลเหล่านี้ จะเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีนักโทษประหารอย่างน้อยสองคนที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดีต่อศาลสูงสุด มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่า ไม่ควรมีการประหารชีวิตกรณีที่คดียังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังกังวลด้วยว่า ที่ผ่านมานักโทษประหารบางคนอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านกฎหมาย เพื่อให้สามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีต่อศาลสูงได้" จดหมายดังกล่าวระบุ

นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลอินโดนีเซียให้ยุติแผนการประหารชีวิตทั้ง 11 คนโดยทันที และให้ทบทวนกรณีอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งนี้โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเปลี่ยนโทษประหารชีวิตให้เป็นโทษจำคุก จัดทำความตกลงชั่วคราวเพื่อยุติการประหารชีวิต ทั้งนี้โดยมีเจตนารมณ์เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต สอดคล้องกับมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ และแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศ เพื่อยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตในทุกข้อบัญญัติ

ทั้งนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลย้ำด้วยว่า คัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตและเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม

00000


จดหมายเปิดผนึกจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลถึงประธานาธิบดีอินโดนีเซียกรณีโทษประหารชีวิต

ฯพณฯ ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด
Istana Merdeka Jakarta 10110 อินโดนีเซีย

18 กุมภาพันธ์ 2558

เรียน ฯพณฯ
จดหมายเปิดผนึกว่าด้วยโทษประหารชีวิต

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความกังวลจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลที่มีต่อการประหารชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติอย่างน้อย 11 คน ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฆาตกรรม

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิในการมีชีวิต และเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีมากสุด

หากอินโดนีเซียเดินหน้าประหารชีวิตบุคคลเหล่านี้ จะเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ มีนักโทษประหารอย่างน้อยสองคนที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์คดีต่อศาลสูงสุด มาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่า ไม่ควรมีการประหารชีวิตกรณีที่คดียังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังกังวลด้วยว่า ที่ผ่านมานักโทษประหารบางคนอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านกฎหมาย เพื่อให้สามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีต่อศาลสูงได้

Rodrigo Gularte นักโทษชาวบราซิลได้รับการตรวจพบว่ามีอาการจิตเภทและไบโพลาร์ และมีลักษณะอาการทางจิตอื่น ๆ อาการของเขายังทรุดลงในระหว่างคุมขังในแดนประหาร กฎหมายระหว่างประเทศห้ามใช้โทษประหารชีวิตกับผู้ที่พิการด้านจิตใจหรือสติปัญญา เรายินดีกับรายงานล่าสุดที่ว่าทางการอินโดนีเซียกำลังประเมินคดีของนาย Gularte ใหม่ และอาจไม่ประหารชีวิตเขา หากพบว่าเขามีอาการทางจิต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังตกใจกับการแสดงจุดยืนของรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะปฏิเสธไม่รับคำร้องขอลดหย่อนโทษ กรณีที่เป็นนักโทษประหารเนื่องจากความผิดด้านยาเสพติด ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่จะร้องขอให้อภัยโทษหรือเปลี่ยนโทษ และเป็นสิทธิที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 14 ของรัฐธรรมนูญอินโดนีเซีย และข้อ 6 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในรัฐภาคี

มีการอ้างว่าการรื้อฟื้นการประหารชีวิตในอินโดนีเซียเป็นการตอบโต้กับอาชญากรรม รวมทั้งอาชญากรรมด้านยาเสพติด อย่างไรก็ดี ความผิดด้านยาเสพติดยังไม่ถือว่ามีคุณสมบัติเป็น “ความผิดร้ายแรงสุด” ซึ่งอาจมีการนำโทษประหารชีวิตมาใช้ได้ตามกติกา ICCPR นอกจากนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า โทษประหารชีวิตจะช่วยป้องกันอาชญากรรมได้อย่างเป็นผลมากกว่าการลงโทษชนิดอื่น ๆ จากการศึกษาอย่างละเอียดขององค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโทษประหารชีวิตกับอัตราการฆ่าคนตายได้ข้อสรุปว่า ไม่มีหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการประหารชีวิตส่งผลในเชิงป้องปรามอาชญากรรม มากกว่าการจำคุกตลอดชีวิต

ดังที่องค์การสหประชาชาติและหน่วยงานอื่น ๆ ได้เคยแถลงไว้ การแก้ปัญหาอาชญากรรมร้ายแรงสุดและความไม่มั่นคง จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและระบบยุติธรรมทางอาญาอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนควรมีความมั่นใจว่า เจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี และมีความรู้มากเพียงพอที่จะสอบสวนความผิดทางอาญา โดยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และควรมั่นใจได้ว่าระบบยุติธรรมมีความเป็นอิสระ เป็นธรรม และมีความเป็นกลาง

การใช้โทษประหารชีวิตต่อไปในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ยังอาจบั่นทอนความพยายามของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ต้องการคุ้มครองไม่ให้พลเมืองของตนถูกตัดสินประหารชีวิตในประเทศอื่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลตระหนักว่า เมื่อเดือนเมษายน 2557 รัฐบาลอินโดนีเซียยินยอมจ่ายค่าชดเชยเพื่อให้มีการเปลี่ยนโทษประหารชีวิตสำหรับคนทำงานบ้านชาวอินโดนีเซียที่ต้องคดีในซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากเธอได้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่านายจ้างตนเอง ทั้งที่ในความจริงผู้หญิงคนดังกล่าวอาจกระทำการเช่นนั้นเพื่อป้องกันตนเอง และเมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงการต่างประเทศยังประกาศที่จะขัดขวางไม่ให้มีการประหารชีวิตพลเมืองชาวอินโดนีเซียอย่างน้อย 229 คนซึ่งต้องโทษประหารในต่างประเทศสำหรับความผิดเกี่ยวกับการฆ่าคนตายและยาเสพติด แม้เราชื่นชมกับความพยายามของรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะหาทางลดหย่อนโทษให้กับผู้ต้องโทษประหารชีวิตในต่างประเทศ แต่การนำโทษประหารชีวิตมาใช้ต่อไปในประเทศของตนเอง สะท้อนถึงสภาวะสองมาตรฐานที่เป็นปัญหาอย่างยิ่ง

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขอเรียกร้องรัฐบาลอินโดนีเซียให้

• ยุติแผนการประหารชีวิตทั้ง 11 คนโดยทันที และให้ทบทวนกรณีอื่น ๆ ทั้งหมด ทั้งนี้โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเปลี่ยนโทษประหารชีวิตให้เป็นโทษจำคุก
• จัดทำความตกลงชั่วคราวเพื่อยุติการประหารชีวิต ทั้งนี้โดยมีเจตนารมณ์เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต สอดคล้องกับมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ
• แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศ เพื่อยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตในทุกข้อบัญญัติ

เราหวังว่าท่านจะพิจารณาข้อเสนอแนะเหล่านี้

ขอแสดงความนับถือ

ซาลิล เช็ตติ (Salil Shetty)
เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net