Skip to main content
sharethis

กลุ่มคุ้มครองเสรีภาพพลเมืองอินเทอร์เน็ตจากสหรัฐฯ วิจารณ์มาตรการเรือนจำรัฐเซาท์แคโรไลนาที่สั่งลงโทษนักโทษที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กในระดับรุนแรงกว่าการพยายามหลบหนีหรือฆ่านักโทษด้วยกัน ถือเป็นการละเมิดหลักรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ


12 ก.พ. 2558 มูลนิธิพรมแดนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Frontier Foundation: EFF) ซึ่งเป็นกลุ่มคุ้มครองเสรีภาพพลเมืองในโลกดิจิตอลระบุถึงกรณีการควบคุมนักโทษในเรือนจำรัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ด้วยการไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก ซึ่งนับเป็นวิธีการลงโทษระดับที่รุนแรงมากเท่ากับโทษการฆาตกรรม, ข่มขืน, ก่อจลาจล, พยายามหลบหนี และจับตัวประกัน

กรมราชทัณฑ์ของรัฐเซาท์แคโรไลนาจัดให้ "การสร้าง และ/หรือ การช่วยเหลือด้วยเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก" ถือเป็นการละเมิดข้อบังคับผู้ต้องขังในระดับที่ 1 ซึ่งถือเป็นระดับของการละเมิดขั้นสูงสุด ในระดับที่ EFF ระบุว่าแม้นักโทษจะ "ก่อจลาจล จับตัวประกัน สังหารตัวประกัน ขโมยเสื้อผ้าพวกเขา แล้วพยายามหลบหนี พวกเขาก็ยังอาจจะได้รับโทษตามการละเมิดข้อบังคับระดับ 1 น้อยกว่าคนที่โพสต์เฟซบุ๊กทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์"

นักโทษในเรือนจำหลายคนยังคงใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวเพื่อติดตามข่าวสารของพวกเขา บางคนให้ครอบครัวพวกเขาเข้าถึงบัญชีเฟซบุ๊กแทน หรือบางคนก็เข้าถึงผ่านโทรศัพท์มือถือที่ลับลอบนำเข้าไป ซึ่งการลักลอบนำมือถือเข้าไปยังมีความผิดระดับน้อยกว่าการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก

การละเมิดในระดับ 1 นั้นมีบทลงโทษหนักที่สุดคือการขังเดี่ยวเป็นเวลาหลายปีและระงับสิทธิในเรือนจำต่างๆ เช่นสิทธิเข้าเยี่ยมและสิทธิในการใช้โทรศัพท์ ซึ่งมีผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในเรือนจำเซาท์แคโรไลนาบางคนถูกสั่งขังเดี่ยวเป็นเวลาหลายสิบปีเพราะทางเรือนจำเซาท์แคโรไลนานับโทษการละเมิดตามการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กต่อวัน หลายความว่าถ้านักโทษคนหนึ่งเข้าใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก 5 วัน พวกเขาจะถูกลงโทษการละเมิดระดับ 1 ถึง 5 ครั้ง โดยไม่สนใจว่าจะโพสต์อะไรมากน้อยแค่ไหน

EFF ระบุว่าข้อบังคับดังกล่าวนี้มีความสุดโต่งมากในแง่การบังคับใช้ถึงระดับที่กรมราชทัณฑ์เซาท์แคโรไลนาไม่มีที่พอสำหรับลงโทษขังเดี่ยวอีก EFF ระบุอีกว่าในบางกรณีการลงโทษเพียงเพราะใช้โซเชียลมีเดียมีระยะเวลาลงโทษที่ยาวนานกว่าโทษจำคุกของนักโทษเสียอีกซึ่งถือว่านานเกินไปอย่างไม่จำเป็น แม้ว่าการห้ามไม่ให้ลักลอบนำสิ่งของบางอย่างเข้าเรือนจำหรือการป้องกันการกระทำอาชญากรรมผ่านทางอินเทอร์เน็ตจะเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ EFF ระบุว่าการห้ามใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของเรือนจำเซาท์แคโรไลนาถือว่าเป็นการห้ามมากเกินไป เพราะนักโทษใช้อินเทอร์เน็ตในการอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องถือว่าใช้ก่ออาชญากรรมเสมอไป

กรมราชทัณฑ์ของรัฐเซาท์แคโรไลนายังพยายามขอให้เฟซบุ๊กลบบัญชีผู้ใช้ของนักโทษเรือนจำตนด้วย โดยมีคำร้องจากเรือนจำมากถึงหลายร้อยคำร้อง เฟซบุ๊กทำตามโดยอ้างระงับการใช้หน้าเฟซบุ๊กตามเงื่อนไขข้อตกลงการให้บริการที่ไม่อนุญาตให้ใช้นามแฝงหรือแชร์รหัสกับบุคคลที่ 3

โดย EFF ระบุว่าการกระทำเช่นนี้ของเรือนจำเซาธ์แคโลไรนาเป็นการพยายามเซนเซอร์การสื่อสารกับโลกออนไลน์ของนักโทษ และระบุอีกว่าทางเฟซบุ๊กกลับไม่ยอมดำเนินการกรณีที่มีผู้สืบสวนของกรมราชทัณฑ์รัฐเซาท์แคโรไลนาที่มักจะละเมิดข้อตกลงการให้บริการเพื่อหาข้อมูลโปร์ไฟล์ของนักโทษ นอกจากนี้ยังไม่มีเอกสารสาธารณะที่บันทึกการนำเพจของนักโทษออกด้วยทำให้ถือว่าเป็นความพยายามทำอย่างปกปิดเป็นความลับ

EFF ยังขอให้ชาวเซาท์แคโรไลนาเรียกร้องให้มีการพิจารณานโยบายสั่งห้ามการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กรวมถึงการสั่งลงโทษอย่างรุนแรงอีกครั้ง และเรียกร้องให้เฟซบุ๊กพิจารณาตัวเองใหม่ในกรณีที่ช่วยเหลือระบบการเซนเซอร์ข้อมูลจากเรือนจำ เนื่องจากระบบนี้ทำให้เกิดการลงโทษนักโทษที่ยาวนานและรุนแรงกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นการตัดขาดนักโทษออกจากโลกภายนอก

นอกจากเฟซบุ๊กแล้วเรือนจำเซาท์แคโรไลนายังห้ามโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ซึ่งมีการนิยามคำนี้กว้างมากตั้งแต่ ยูทูบ ทวิตเตอร์ บล็อก และอีเมล นับตั้งแต่มีนโยบายดังกล่าวนี้กรมราชทัณฑ์เซาท์แคโรไลนาก็บังคับใช้กรณีความผิดทางวินัย 432 กรณีต่อนักโทษ 397 ราย

EFF ระบุอีกว่าเรื่องนี้ยังส่งผลต่อประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในเรือนจำในแง่ที่ว่าบทลงโทษของกรมราชทัณฑ์เซาท์แคโรไลนาทำให้ระยะเวลาการอยู่ในเรือนจำของนักโทษบางคนยาวนานขึ้นโดยใช่เหตุ ทำให้ต้องใช้เงินภาษีไปในการดูแลนักโทษมากขึ้นตามไปด้วยเพียงเพราะพวกเขาโพสต์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์ก

ทางหน่วยงานเรือนจำเซาท์แคโรไลนายังมีวิธีการแกะรอยการใช้งานเฟซบุ๊กของนักโทษในหลายวิธี ตั้งแต่การจับได้ว่าใช้อุปกรณ์ห้ามนำเข้าเรือนจำในการเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีการจ้างกลุ่มลับเพื่อช่วยสืบ มีการสั่งให้เจ้าหน้าที่ค้นหารหัสผ่านของนักโทษมาด้วยวิธีใดก็ได้ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงการให้บริการ นอกจากนี้ยังสร้างโปร์ไฟล์ปลอมเพื่อดักจับการใช้งานของนักโทษซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงการให้บริการของเฟซบุ๊กเช่นกัน

ทั้งนี้ EFF ยังวิจารณ์การที่เฟซบุ๊กให้ความร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์เซาท์แคโรไลนามากเกินไปในการยุบหน้าเฟซบุ๊กของนักโทษโดยไม่สนใจเหตุผลรวมถึงแม้กระทั่งว่าจะเป็นการละเมิดข้อตกลงการให้บริการของตนเอง ซึ่งถือเป็นการอนุญาตให้มีการเซนเซอร์อย่างลับๆ

"เฟซบุ๊กทำตัวสองมาตรฐานเวลาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการละเมิดข้อตกลงการให้บริการ" EFF ระบุในเว็บไซต์ของตน

นอกจากรัฐเซาท์แคโรไลนาแล้ว มีรัฐอื่นๆ ที่จัดการกับเรื่องการเข้าถึงเฟซบุ๊กของนักโทษต่างกัน เช่นรัฐนิวเม็กซิโกจะสั่งลงโทษขังเดี่ยวนักโทษ 60 วันถ้าพบว่ามีครอบครัวเข้าถึงหน้าเฟซบุ๊กของนักโทษผู้นั้นแทน ส่วนรัฐอลาบามาเพิ่งผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้คนทำผิดคดีอาญาลหุโทษทำหน้าที่เป็นตัวกลางแทนนักโทษที่ต้องการโพสต์ข้อความลงในอินเทอร์เน็ต

แต่ก็มีการท้าทายนโยบายห้ามนักโทษโพสต์เฟซบุ๊ก โดยในรัฐแอริโซนาไม่อนุญาตให้ผ่านร่างกฎหมายสั่งห้ามนักโทษเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านบุคคลที่สามด้วยเหตุผลว่ากฎหมายนี้ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ ในรัฐฟลอริดากลุ่มนักสิทธิพลเมืองเตือนว่าจะมีการฟ้องร้องกรมราชทัณฑ์ของรัฐทำให้ทางกรมราชทัณฑ์ยอมยกเลิกข้อเสนอนโยบายแบบเดียวกับเซาธ์ฟลอริดา ในรัฐอินเดียนา กลุ่มสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันยื่นฟ้องกรณีเจ้าหน้าที่ลงโทษนักโทษที่ให้พี่สาวของเขารณรงค์ปล่อยตัวทางโซเชียลมีเดียโดยระบุว่าการลงโทษนักโทษในกรณีนี้เป็นการละเมิดบทแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

ทั้งนี้ EFF ยังเรียกร้องให้เฟซบุ๊กหยุดการเซนเซอร์โซเชียลมีเดียของนักโทษโดยไม่ผ่านการพิจารณาเรื่องข้อตกลงการให้บริการก่อน ให้เฟซบุ๊กนำแบบฟอร์มการปลดบัญชีผู้ใช้ที่เป็นนักโทษออกหรืออย่างน้อยก็มีการบันทึกสำหรับสาธารณะไว้ ขอให้เฟซบุ๊กรวบรวมสถิติคำขอของเรือนจำไว้ในรายงานความโปร่งใส และให้เจ้าหน้าที่ทางการต้องรับผิดชอบถ้าหากทำผิดข้อตกลงการให้บริการของเฟซบุ๊ก

"การสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิของนักโทษและความปลอดภัยของสาธารณชนเป็นงานที่ไม่ง่าย แต่เรือนจำและบริษัทที่ให้ความช่วยเหลือจะต้องพิจารณาสัดส่วนและความเป็นธรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้จริง" EFF ระบุ


เรียบเรียงจาก

Hundreds of South Carolina Inmates Sent to Solitary Confinement Over Facebook
https://www.eff.org/deeplinks/2015/02/hundreds-south-carolina-inmates-sent-solitary-confinement-over-facebook

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net