“อินดี้”เป็นปรากฏการณ์ของวัฒนธรรมวัยรุ่นที่เกิดทั่วโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา หากมองย้อนไปอาจจะเรียกได้ว่าหลังจากยุคฮิปปี้ในทศวรรษที่ 60 แล้ว ไม่มียุคของวัยหนุ่มสาวที่เป็นปรากฏการณ์โลกเกิดขึ้นอีกเลยนอกจากยุคอินดี้ในทศวรรษที่ 90 อินดี้และฮิปปี้ต่างก็ยึดเอาดนตรีร็อกเป็นสารัตถะเช่นเดียวกัน แต่อินดี้เกิดมาในยุคอวสานของอุดมการณ์ร็อก( the end of rock ideology) อินดี้จึงไม่มีคือภาพลักษณ์แบบขบถสังคมเช่นเดียวกับพวกฮิปปี้ แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่เยาวชนหนุ่มสาวที่สะพายกีต้าร์และร้องเพลงร็อก(ในภาษาถิ่นของตนเอง)เท่านั้นหรือ? ข้อเขียนสั้นๆชิ้นนี้ชวนย้อนมอง 20 ปีของกำเนิดอินดี้ในไทย
(1)
การกล่าวถึงอินดี้ในไทยคงต้องย้อนไปช่วงที่กระแสดนตรีแบบอัลเทอร์เนทีฟที่ได้รับความนิยมในไทยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2536 หากหลังเหตุการณ์พฤษภทมิฬ 35 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นการแสดงพลังชนชั้นกลางกับการเมืองไทย กล่าวว่าการเกิดของกระแสนิยมอัลเทอร์เนทีฟที่เกิดตามมาในปีนั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นการแสดงพลังของชนชั้นกลาง(รุ่นเยาว์) [i]กับวัฒนธรรมก็ว่าได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นต้องการแสดงตัวตนผ่านปฏิบัติการทางวัฒนธรรมที่เป็น “เสียง”ของเขาจริงๆมากกว่าเรื่อง“การเมือง”ที่พวกเขาถูกมองเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง เราจะเห็นว่าดนตรีและแฟชั่นดูจะเป็นสิ่งที่ชนชั้นกลาง(รุ่นเยาว์)หยิบฉวยได้ง่ายที่สุด แต่ทำไม่ต้องเป็นดนตรีร็อกจากวัฒนธรรมตะวันตก เหตุผลที่น่าจะกล่าวได้ก็คือกระแสดนตรีร็อกในตะวันตกช่วงต้นทศวรรษที่ 90 (ทั้งในอเมริกาและอังกฤษ) นักดนตรีร็อกกลับมามีภาพลักษณ์แบบของแอนตี้ฮีโร่( anti- hero)และมีความกล้าที่จะแสดงออก ดังนั้น ไม่แปลกใจหากศิลปินอย่างเคิร์ท โคเบนจากวงเน่อร์วานา หรือสองพี่น้องกัลลาเกอร์จากวงโอเอซิสจะเป็นชื่นชอบของวัยรุ่นในยุคนั้น
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการทางวัฒนธรรมของเยาวชนชนชั้นกลางที่ต้องการหยิบยืมวัฒนธรรมตะวันตกมาแสดงตัวตนของตนเอง(อีกครั้ง)นั้นดูไม่ง่ายนัก เพราะยุคนั้นวัฒนธรรมสมัยนิยมในเมืองไทยมีพื้นที่ให้พวกเขาไม่มากนัก หากคุณไม่ไปเดินห้าง ดูฟรีคอนเสิร์ต สิ่งที่คุณทำได้ก็คือนั่งเปิดเพลงฟังและเล่นกีต้าร์(แบบเหงาๆ)อยู่ที่บ้าน การฝ่าด้าน(อุตสาหกรรม)วัฒนธรรมแบบไทยๆ ของพวกเขาจึงถือว่าเป็นภารกิจแรกที่ต้องทำ
(2)
รูปแบบของการบริโภคดนตรีของเยาวชนไทยถูกผูกไว้กับสื่อกระจายเสียงมาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 50 ดังนั้น ดีเจผู้ดำเนินรายการวิทยุจึงถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรสนิยมการฟังเพลงมาโดยตลอด ในยุคเริ่มต้นของกระแสอัลเทอร์เนทีฟก็เช่นเดียวกัน วาสนา วีระชาติพลีดีเจนักจัดรายการวิทยุเพลงสากลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของไทย ได้นำเอาดนตรีสไตล์นี้จากอังกฤษมาเปิดแนะนำให้ผู้ฟังในรายการทาง FM 105.5 ของเธอจนดนตรีที่เธอใช้คำเรียกว่า“โมเดิร์น ร็อก”( Modern Rock) กลายเป็นกระแสนิยมในหมู่นักศึกษา เพลงที่เธอนำมาเปิดในช่วงนั้นส่วนใหญ่เป็นเพลงร็อกที่มาจากอังกฤษ อย่างเช่นงานเพลงของวง Suede, Manic Street Preacher, Primal Scream, Jesus and Mary Jane ที่ล้วนแล้วแต่เป็นวงดนตรีในกระแสดนตรีที่เรียกว่า “อัลเทอร์เนทีฟ”(alternative)ของอังกฤษ(ยุคก่อนที่กระแส Brit-pop จะบูม) ที่จริงการจัดเพลงของวาสนาในยุคนั้นเป็นถือว่าเป็นยุคตกต่ำของรายการเพลงสากลในรายการวิทยุของไทยก็ว่าได้ ด้วยเหตุที่ว่าค่ายเพลงใหญ่ของไทยเข้ามาเช่าคลื่นและจัดทำรายการเพลงไทยเพื่อโปรโมทศิลปินจากค่ายตนเอง
จากกระแสความนิยมที่เกิดจากรายการวิทยุดังกล่าว ทำให้สื่อนิตยสารดนตรีภาษาไทยเช่นมิวสิค เอ็กเพรส, บันเทิงคดี หันมาให้ความสนใจเสนอเรื่องราวของแนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ รายการดนตรีในเคเบิ้ลทีวีที่เพิ่งเกิดในช่วงนั้นก็มีช่วงของการนำเสนอดนตรีแบบอัลเทอร์เนทีฟ นอกจากนี้การเกิดกระแสนิยมอัลเทอร์เนทีฟในไทยในช่วงนั้น ยังนำพาเอาบริษัททุนข้ามชาติด้านอุตสาหกรรมเพลงหลายบริษัทไม่ว่า BMG, WEA, Sony Music เปิดบริษัทสาขาในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันนั้นกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับ พ.ศ.2537 มีผลบังคับใช้ ( ปฏิเสธไม่ได้ว่าวงอย่าง Oasis มีชื่อเสียงในไทยเพราะ Sony Music โปรโมทอย่างมาก) นอกจากผลิตงานของศิลปินอัลเทอร์ต่างชาติในสังกัดออกจำหน่ายแล้ว ต่อมาสาขาบริษัทเหล่านี้ยังเซ็นสัญญากับวงอัลเทอร์เนทีฟไทยหลายวง ที่จริงหากเราเชื่อมโยงภาพกระแสอัลเทอร์เนทีฟไทยเข้า สื่อกระจายเสียง(โทรทัศน์ วิทยุ) สื่อสิ่งพิมพ์( หนังสือพิมพ์บันเทิง นิตยสารดนตรี) สื่อบันทึกเสียง(คาสเส็ตเทป ซีดี) เคเบิลทีวี กฎหมายลิขสิทธิ์ ภาพรวมทั้งหมดนี้คือโครงสร้างของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมดนตรีของไทยที่เติบโต พร้อมๆกับการปะทะกับการเข้ามาของโลกาภิวัตน์ของสื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงต่างชาติ ที่มีเงื่อนไขจากการที่ประเทศไทยเตรียมพร้อมการเปิดเสรีการค้าสินค้าทางวัฒนธรรมและการสื่อสาร ตามข้อตกลงการค้าโลกที่ไทยจะเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2538 ดังนั้น อัลเทอร์เนทีฟจึงเกิดมาท่ามกลางกระแสของสื่อที่ไหลอย่างเชียกรากของการปรับตัวของรัฐกับทุนเสรีนิยมใหม่
(3)
แต่แล้ววงโมเดิร์น ด็อกกับงานชุดเสริมสุขภาพที่ออกมาในช่วงเดือนกันยายนของปี พ.ศ. 2537 ก็ถือว่าเป็น“เสียงแรก”ที่เปล่งฝ่าด่านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมออกมาได้(ในช่วงแรก) ที่จริงหากย้อนไปก่อนหน้านั้นในเดือนเมษายนปีเดียวกัน วงครับ ซึ่งถือว่าเป็นวงอัลเทอร์เนทีฟไทยวงแรกของไทยก็มีงานชุด View ออกมา แต่ดูเหมือนจะเป็นที่รู้จักกันในวงแคบกว่าโมเดิร์น ด็อก อย่างไรก็ดีปี พ.ศ. 2538-2539 น่าจะถือว่าเป็นยุคบูมของอัลเทอร์เนทีพไทยอย่างแท้จริง ซึ่งถือว่าเป็นผลพวงของกระแสความนิยมที่มาจากเพลงฮิต “ก่อน”ของโมเดิร์น ด็อก (แม้ว่า “บุษบา”จะเป็นซิงเกิ้ลแรกที่ทำให้คนรู้จักวง) จากเพลงดังกล่าวนำไปสู่การสร้างยอดจำหน่ายเทปคาสเซ็ตหลายแสนชุด จนทำให้บริษัทต้นสังกัดของวงอย่างเบเกอรี ถือกำเนิดในฐานะค่ายเพลงอิสระ มีวงดนตรีสมัครเล่นแนวอัลเทอร์ พร้อมกับค่ายเพลงอิสระเกิดตามขึ้นมามากมาย หลายวงเกิดกับค่ายอิสระ หลายวงเกิดกับค่ายใหญ่ของไทย และอีกลายวงได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ต่างชาติ อย่างเช่น ‘ป้าง’ นครินทร์ กลิ่นศักดิ์และวงสติวเดนต์ อั๊กลี่กับ Sony Music, ‘ออดี้’ ธนะยส จิวานนท์กับ BMG สไมล์ ปัฟฟาโล่กับ EMI แต่ก็ยังอีกหลายวงก็เลือกที่จะออกงานกับค่ายที่ตนเองตั้งขึ้น ไม่มีใครรู้ว่ามีวงดนตรีแนวอัลเทอร์เกิดขึ้นจำนวนมากเท่าไร แต่ที่รู้แน่ๆก็คือเกิด“เด็กอัลเทอร์”กลายเป็นแฟชั่นของเยาวชนในยุคนั้น
มีคำที่มักใช้อธิบายการเมืองวัฒนธรรมของการเกิดอินดี้ในโลกตะวันตก คือ การสร้างอำนาจให้กับผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาฐานะเป็นผู้ผลิต(consumer as producer) แต่ปรากฏการณ์ของการเกิดวงดนตรีและค่ายเพลงในไทยมีข้อพิจารณาที่ต่างออกไป เพราะวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟที่ตั้งขึ้นล้วนใหม่เป็นวงประเภท “สตูดิโอแบนด์”( studio band)คือตั้งวงเพื่อมุ่งหวังที่จะเซ็นสัญญากับบริษัทและออกอัลบั้มเพลง สถานะทางสังคมวิทยาของวงดนตรี( band)จึงอิงกับระบบอุตสาหกรรมดนตรีมากกว่า แม้จะดูต่างจากระบบ “Star System”ของค่ายเพลงก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นค่ายอิสระเล็กๆที่เกิดขึ้นใหม่ บริษัทค่ายเทปใหญ่ทั้งของไทยและของต่างประเทศ ดูเหมือนศิลปินจะมีโอกาสทำงานเพลงเองโดยเฉพาะการแต่งเพลงและการบันทึกเสียง แต่กลไกลอื่นๆ ภายใต้โครงสร้างของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมดนตรีสมัยนิยมของไทยยังคงถูกควบคุมการใช้สื่อ โดยเฉพาะสื่อกระจายเสียงวิทยุและโทรทัศน์ที่เป็นสื่อหลักของการแพร่กระจายผลงานของเพลง(และมิวสิควิดีโอ)ของเพลงสมัยนิยมไทย ดังนั้น หากเป็นวงอัลเทอร์ดังจริงก็ต้องออกรายการโลกดนตรีทางช่อง 5 หรือ 7 สีคอนเสิร์ต ด้วยเช่นกัน รวมทั้งการ“เยี่ยมแท่นพิมพ์”ที่เหล่าศิลปินอัลเทอร์หน้าใหม่ทั้งหลายต้องเดินทางไปเยี่ยมเพื่อให้ช่วยโปรโมทหลังมีงานใหม่ออกจำหน่าย ยังไม่นับรวมที่พวกอัลเทอร์หลายคนต้องไปออกรายการแบบเกมโชว์
(4)
เราจะเห็นว่าการที่ดนตรีแบบอัลเทอร์เนทีฟได้ถูกสร้างกระแสนิยมในไทยโดยผ่านสื่อกระแสหลัก ในช่วงแรกๆจะช่วยกระตุ้นให้ชนชั้นกลางรุ่นเยาว์จำนวนมากกล้าคิด กล้าแสดงออกผ่านงานดนตรีและวัฒนธรรม แต่“อัลเทอร์”ก็ไม่เคยเป็น “ทางเลือก”จริงๆตามความหมายของมันในภาษาอังกฤษ การกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของดนตรีสมัยนิยม ทำให้ในระยะต่อมาการไม่ประสบความสำเร็จในยอดขายของศิลปินเหล่านั้น ทำให้พวกเขาค่อยๆหายไปตามระบบธุรกิจในระยะเวลา 3-4 ปี อาจกล่าวได้ว่าในเวทีอัลเทอร์เนทีฟชนชั้นกลางรุ่นเยาว์แพ้ให้กับทุน แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้หายไปเช่นเดียวพวกฮิปปี้ไหนที่กลายเป็นคนทำงานออฟฟิศและกลายเป็นผู้บริหารที่มีฐานะอันมั่นคง พวก“อินดี้”ยังคง หาทางที่จะ“เปล่งเสียง”ของพวกเขาต่อไป..... โปรดติดตาม ตอนที่ 2 ว่าด้วยวัฒนธรรมกับปฏิบัติการ
[i] นิยามของคำว่า “ชนชั้นกลางรุ่นเยาว์”ในที่นี้ ผู้เขียนใช้เพื่อสื่อถึงกลุ่มเยาวชนที่เป็นลูกหลานของชนชั้นกลางในแง่ของสถานะทางเศรษฐกิจและพวกเขากำลังศึกษาในระดับมัธยมและอุดมศึกษาในขณะนั้น แต่วัตถุประสงค์หลักของการเขียนผู้เขียนต้องการสื่อถึงการชนชั้นกลางรุ่นเยาว์เหล่านี้เปลี่ยนในฐานะที่เป็นชนชั้นกลางในฐานะผู้ผลิตทางวัฒนธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)