เป็นที่ประจักษ์ว่า ศาสนา เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามักชี้ให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของพลังทางด้านศาสนาดังการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่มีส่วนในการเกาะกุมทั้งอุดมการณ์ การดำรงชีวิตและทิศทางในอนาคต หลายครั้งศาสนาถูกนำมาเป็นฐาน อันก่อให้เกิดการจำกัดความ นิยามตัวตนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ ทั้งนี้เวลาที่มีสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะในบริเวณรัฐอิสลามกับคริสตชน รัฐยะไข่ กรณีมุสลิมกับชาวพุทธ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นดังกล่าวล้วนแต่มีพื้นฐานในเรื่องของ เจตคติเกี่ยวกับความศรัทธาที่คลาดเคลื่อน
ในทางศาสนาเองเราอาจจะพูดถึงความศรัทธาในพระเป็นเจ้า หรือ ศาสดา ตลอดจนคำสอน แต่หากจะหยั่งการให้ดีนั้น ศรัทธาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกการกระทำ ทุกเรื่องราว กรณีของการศรัทธาในทางศาสนานี้ ศรัทธาในหลักปฏิบัติที่เห็นได้จริงน่าจะเป็นจุดเน้นมากกว่าคำสอนที่เน้นการเทิดทูนศาสดา เหตุที่ว่ากันตามนี้ก็เนื่องจาก ความเป็นศาสดาหยิบต้องมิได้ แต่หลักปฏิบัติที่ถือกันอยู่และแสดงออกในแต่ละวันจนกลายมาเป็นวิถีชีวิตและตัวตนนับเป็นเรื่องที่ควรรักษามากกว่า
กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสำนักพิมพ์นิตยสารชาร์ลี เอบโด ที่เป็นข่าวสะพรึงไปทั่วโลก หากพูดกันตามหน้าที่ ซึ่งผู้เขียนเรียกเช่นนี้เพราะ ในโครงสร้างสังคมแต่ละส่วนย่อมที่จะมีหน้าที่ บทบาทที่แตกต่างกัน และนั่นก็เป็นจุดที่ว่านิตยสารชาร์ลี เอบโด ก็ยืนหยัดที่จะทำตามหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน โดยการเสนอ เผยแพร่ข่าวที่ไปกระแทกและสะเทือนต่อต่อมความรู้สึกของชาวมุสลิมที่นับถือศาสดามุฮัมมหมัด และนั่นทำให้ชาวมุสลิมเกิดความหวงแหน อย่างชนิดที่ว่า ‘ศาสดาข้า ใครอย่าแตะ’
การกระทำเช่นนี้ของทางสำนักพิมพ์ ถือว่าเป็นความบกพร่องหรือไม่ ผู้เขียนมีมโนทัศน์ว่า นิตยสารชาร์ลี เอบโด ไม่ได้บกพร่องต่อ ‘หน้าที่’ และ ‘วิสัยทัศน์’ ของวงการด้านสื่อ ที่ต้องการให้ผู้คนมีเสรีภาพในการเข้าถึงสื่อ เข้าถึงสถานการณ์บ้านเมือง แต่กระนั้นก็ดีการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความบกพร่องในด้าน ‘ความรับผิดชอบต่อสังคม’ ด้วยเหตุที่นำมาซึ่งความไม่พอใจของชาวมุสลิมผู้ที่ศรัทธาในพระศาสดา อีกด้านหนึ่งของผู้เสพข่าว กรณีของ ศาสนิก ซึ่งมีหน้าที่ในการบริโภคสื่อนั่น ควรใช้วิจารณาญาณอย่างยิ่งยวดในการนำเสนอประเด็นข่าวของแต่ละสำนักพิมพ์ แม้ว่าศรัทธาต่อศาสดาจะใหญ่ยิ่งเพียงใด ทว่าคำสอนประการอื่นๆที่มีผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันนั้นสำคัญยิ่งกว่า หากกล่าวเลยข้อนี้ไปได้ ศรัทธา นั่นจะไม่ก่อปัญหา
สำหรับตัวแสดงที่ชื่อว่า กลุ่มติดอาวุธไอเอส นั่น ผู้เขียนขอกล่าวว่ากินยา ‘ศรัทธาเกินขนาด’ เรื่องของศรัทธา นั่นจะว่าไปแล้วไม่ได้เกี่ยวโยงเฉพาะสถาบันศาสนา ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่มันกลายมาเป็นปมทางด้านชาติพันธุ์ที่ผูกกันมาเนิ่นนาน แม้จะในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการยึดโยงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อย่างแน่นเหนียวกลายเป็น ‘ไวรัส’ ร้าย ที่คอยกัดแทะ และเสมือน ‘อาวุธสงคราม’ ที่ทำลายทั้งโลกได้อย่างเลือดเย็นและราบเรียบในพริบตาเดียว น่าสะเทือนใจที่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่ประเดประดังลงหน้าหนังสือพิมพ์ โลกโซเซียลเน็ตเวิร์คกันครึกโครม ยังคงเผยให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีที่ กลุ่มไอเอส ได้เผยแพร่คลิปข่มขู่และทำร้ายผู้สื่อข่าวชาติญี่ปุ่น คือ โกโตะ จนเสียชีวิต และต่อมาคือ การสังหารนักบินเชื้อชาติจอร์แดนโดยการเผาทั้งเป็น ขณะเดียวกันฝ่ายจอร์แดนเองก็ลงโทษสมาชิกกลุ่มไอเอส 2 คนตามไป สถานการณ์ความโหดร้าย ป่าเถื่อนเช่นนี้ปรากฏไปทั่ว คำถามคือ มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?
ย้อนกลับไปพิจารณาความรุนแรงของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ย้อนกลับไปในกรณี ของเด็กหญิงที่ชื่อ มาลาลา ยูเซฟไซ ผู้ซึ่งมีความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญในการที่จะให้เด็กหญิงชาวมุสลิมมีโอกาสทางการศึกษา นับว่าเธอมองการณ์ไกลตั้งแต่อายุยังน้อย และกล้าที่จะเผชิญ เรียกร้องที่ที่มีคุณค่า และสร้างประโยชน์ยกระดับรากฐานของชาวมุสลิมทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มากกว่าการใช้ความรุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะนำพามาซึ่งการพัฒนา
จะถามความในใจของกลุ่มติดอาวุธว่า กลุ่มอิสระเหล่านี้การก่อตั้งครั้งแรกเพื่อประกาศศักดาในการทำหน้าที่ตอบโต้กับการเข้ามาแทรกแซงหรือ เป็นเจ้าเหนือโลกของสหรัฐอเมริกา ในรัฐอิสลามทั้งหลาย โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง บริเวณที่อเมริกาก็มีความต้องการเข้ามาครอบครอง เพราะด้วยทรัพยากรที่แตะตาต้องใจมหาศาลอย่าง ‘บ่อน้ำมัน’ และ ‘แร่ต่างๆ’ อีกทั้งหากสามารถที่จะกุมพื้นที่นี้ได้ ก็เท่ากับกุมพลเมืองอิสลามซึ่งมีจำนวนมากทีเดียว ในฐานะแหล่งบริโภคสินค้าตะวันตก แต่หากจะย้อนถามว่ามีเพียงสหรัฐฯประเทศเดียวไหมที่กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ตอบโต้ คำตอบคือ ไม่ นั่นคือประเด็นว่า ไม่ใช่สหรัฐประเทศเดียวที่ถูกต่อต้านและประเทศจักรวรรดิทั้งหลายที่ได้ขึ้นชื่อว่า ตะวันตก และนำหน้าความทันสมัยกลายเป็นเป้าหมายที่กลุ่มติดอาวุธสามารถทำลายได้เช่นเดียวกัน
แล้วถามกลับไปว่า หากกลุ่มติดอาวุธมีความประสงค์ที่จะปกป้องดินแดนอิสลามให้พ้นเงื้อมมือจากการคุกคามของตะวันตกทั้งทางด้าน อำนาจนำและความทันสมัย ทำไมพวกเขาถึงไม่ปกป้องพลเมืองของพวกเขา ในฐานะที่ต้องการเรียกร้องให้เกิดการพัฒนาขึ้นภายในรัฐ และความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง อย่างกรณีที่ มาลาลา ยูเซฟไซ เรียกร้อง และเด็กมุสลิมที่อยู่ในเขตทุรกันดารของรัฐอิสลาม ที่ยังขาดแคลนรอความช่วยเหลือจากองค์กรโลก
หลายรัฐที่เป็นมุสลิมพยายามที่จะใช้ภูมิปัญญาผลิตสร้าง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์อันดีงามของมุสลิม อย่างเช่น ฮาลาล และอื่นๆที่เป็นการขับเคลื่อนให้พลเมืองมุสลิมที่กระจายอยู่ทั่วโลกมีการกินอยู่ที่มีคุณภาพ ไม่สูญเสียอัตลักษณ์ของตน ซึ่งวัตรปฏิบัติเหล่านี้ไม่ได้ถือเป็นการละเมิดต่อบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แต่อย่างใด แต่เป็นการรื้อ สร้าง และสลัดภาพมายาคติของรัฐอิสลาม ในฐานะที่เป็นพื้นที่อันตราย ไปสู่ พื้นที่สันติภาพ และมายาคติที่ว่าชาวมุสลิม เป็นกลุ่มหัวรุนแรง ไปสู่ กลุ่มชนที่แสวงหาสันติสุข
ตอนนี้กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส กำลังทำลายมายาภาพของชาวมุสลิมที่แสวงหาสันติสุข และเคารพนับถือศาสดามุฮัมหมัดลงอย่างสิ้นเชิง แม้ ณ วันนี้ท่านจะมีสมรภูมิรบ แต่วันข้างหน้าโลกมิอาจที่จะมีที่ยืนกับท่านได้เสมอไป และผู้เขียนคิดว่าประชาชนชาวมุสลิม คงไม่ต้องการให้บุตรหลานของตนโตขึ้นไปเพื่อจับอาวุธ เสี่ยงชีวิต เสี่ยงอันตราย ยกชูอุดมการณ์ของกลุ่มไอเอสที่ทำลายล้างชีวิตคนในโลกและลูกหลานชนชาวมุสลิมดอก จะดีกว่าไหมหาก ณ วันนี้ ศรัทธาทางศาสนาในด้านดีจะแผ่พลังให้นักรบที่ได้ขึ้นชื่อว่า หัวรุนแรงเหล่านี้ ได้หันกลับมาคิด