Skip to main content
sharethis

ว็บไซต์อิศรา รายงานว่า จากกรณีนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อขออุทธรณ์การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร กรณีถูกสำนักงานศาลปกครอง ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจำนวน 3 รายการ คือ

1.ผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงาน ศาลปกครอง ถูกกล่าวหาว่าทำบันทึกส่วนตัวไปยังรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจรายหนึ่ง

2. ผลการพิจารณาของนายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุด ในกรณีเดียวกัน

3. ผลการพิจารณา/บันทึกการประชุม อนุกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ในกรณีเดียวกัน

โดยนายประสงค์ ยืนยันว่า ต้องการที่จะนำข้อมูลไปใช้ในการต่อสู้คดีความ ที่ถูกนายดิเรกฤทธิ์ ฟ้องร้องคดีทางอาญาและคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านบาท และเรื่องนี้มิใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่การประพฤติตนของข้าราชการระดับสูงที่จะต้องแบบอย่างที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมอย่างเคร่งครัด การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควรแต่อย่างใด

และการนำข้อมูลข่าวสารดังกล่าวมาเปิดเผยจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างมากและเป็นการใช้สิทธิเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพราะกรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ระบบอุปถัมภ์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในระบบราชการและสังคมไทยโดยเฉพาะการฝากฝังข้าราชการในการโยกย้าย การใช้เส้นสาย ฯลฯ

(อ่านประกอบ : ศาลปค.ปฏิเสธให้ข้อมูล"ผอ.อิศรา"-ขอผลสอบ"จม.น้อย"ได้แค่ใบแถลงข่าว ขรก.ระดับสูงฝ่าฝืนข้อห้ามจริยธรรม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว)

ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือแจ้งมาถึงนายประสงค์ ให้รับทราบคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558 ให้สำนักงานศาลปกครอง เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ทั้ง 3 ราย ตามที่นายประสงค์ ทำเรื่องอุทธรณ์

ทั้งนี้ ในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ ระบุว่า ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 เป็นข้อมูลในกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่มีการกล่าวหานายดิเรกฤทธิ์ อันเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการตามปกติของสำนักงานศาลปกครอง มิใช่ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเพราะมิใช่เป็นสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล

เมื่อสำนักงานศาลปกครอง ได้ดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น และได้มีการแถลงข่าวให้สาธารณชนทราบแล้ว การเปิดเผยรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว จึงไม่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์

อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของพยานผู้มาให้ถ้อยคำ หรือคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้แก่ผู้อุทธรณ์ซึ่งเป็นผู้ถูกนายดิเรกฤทธิ์ ฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทราบ จะแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องและโปร่งใสในกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงของสำนักงานศาลปกครอง อันจะทำให้สาธารณชน มีความเชื่อถือในการปฏิบัติราชการของสำนักงานศาลปกครอง

ข้อมูลข่าวสารดังกล่าว จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้ เว้นแต่ข้อมูลในส่วนการสืบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำขอของผู้อุทธรณ์ให้ปกปิด

ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 ผลการพิจารณาของนายวิชัย ชื่นชมพูนุท นั้น สำนักงานศาลปกครอง ชี้แจงว่า มีเพียงคำสั่งประธานศาลปกครองสูงสุด ลับ ที่ 28/2557 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2557 เรื่อง งดโทษ และบันทึกการว่ากล่าวตักเตือน ลงวันที่ 6 งหาคม 2557 ซึ่งสามารถเปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้ ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย

ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 3 ผลการพิจารณา หรือ บันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการสามัญประจำสำนักงานศาลปกครอง (อ.ขป.สามัญ) กรณีเดียวกัน ข้อมูลในกรณีนี้ คือ รายการงานประชุมคณะอนุกรรมการสามัญประจำสำนีกงานศาลปกครอง (อ.ขป.สามัญ) ครั้งที่ 2 / 2557 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2557 ซึ่งสำนักงานศาลปกครอง ชี้แจงว่ายังไม่มีการรับรองรายงานการประชุมแต่เนื่องจากการประชุมเรื่องการดำเนินการทางวินัยนายดิเรกฤทธิ์ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ในขณะนี้จึงให้เปิดเผยเฉพาะมติที่ประชุมในเรื่องดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ ยังระบุถึงข้อมูลการชี้แจงของสำนักงานศาลปปกครอง ว่า เคยสอบถามด้วยวาจาถึงการขอข้อมูลของผู้อุทธรณ์ ไปยังนายดิเรกฤทธิ์ และได้รับการยืนยันว่า ไม่ประสงค์ให้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net