ฟารุค เอ เปรู ชาวมาเลย์มุสลิม เขียนบทความถึงกรณีคนร้ายบุกยิงสำนักงาน 'ชาร์ลี เอบโด' ระบุคำวิจารณ์และเสียดสีล้วนเป็นบททดสอบศรัทธา และเหตุผลอื่นๆ ที่เขาสนับสนุนเสรีภาพให้คนมีเสรีภาพในการกล่าวล่วงเกินความเชื่อของเขาได้
ฟารุค เอ เปรู ผู้นับถือศาสนาอิสลามเขียนบทความลงในสำนักข่าวมาเลเซียอินไซเดอร์แสดงทัศนะต่อกรณีการสังหารคนทำงานสื่อนิตยสาร 'ชาร์ลี เอบโด' ซึ่งเปรูระบุว่ามักจะมีคน 'กล่าวหา' เรื่องการสังหารหมู่ว่ามาจากการแสดงออกไม่เคารพยำเกรงของนิตยสารดังกล่าว แต่โดยส่วนตัวเปรูเองคิดว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างในการปิดกั้นเสรีภาพเท่านั้น
"ที่ผมใช้คำว่า 'กล่าวหา' แทนคำว่า 'ทำให้เกิด' เพราะว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง สิ่งที่ทำให้เกิดการสังหารหมู่จริงๆ คือมีคนเอาปืนไปยิงคนอื่น คนเหล่านี้ไม่สามารถรับมือกับการแสดงออกแบบไม่ยำเกรงต่อศรัทธาที่มาจากชาร์ลี เอบโด ได้" เปรูระบุในบทความ
เปรู เปิดเผยว่าเขาเป็นชาวมาเลย์มุสลิมที่เติบโตในมาเลเซียซึ่งมีวัฒนธรรมเคร่งครัดต่อเรื่องความเคารพยำเกรงอย่างมาก ไม่เพียงการแสดงความเคารพอย่างพอเหมาะพอควรแก่ผู้อาวุโสทางศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น ในสังคมที่เขาเติบโตมามีการถึงขั้นยกย่องบูชาตัวบุคคลทางศาสนา ทำให้คนไม่ยอมรับแม้กระทั่งการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสุภาพต่อบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นคนของพระเจ้า (ซึ่งมีแต่ผู้ชายและไม่มีผู้หญิงเลย)
วัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้เปรูเข้าใจได้ว่าเหตุใดถึงมีคนรู้สึกว่าการวิจารณ์คนที่ยกตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของศาสดามูฮัมหมัดถือเป็นการวิจารณ์ศาสดาไปในตัวด้วย จึงทำให้มีคนรู้สึกตื่นตระหนกต่อการ์ตูนเสียดสีของชาร์ลี เอบโด
อย่างไรก็ตาม สำหรับเปรูแล้วเขามองว่าการแสดงออกอย่างไม่ยำเกรงต่อความเชื่อทางศาสนาถือเป็นการทดสอบความศรัทธาอย่างหนึ่งในฐานะที่เขาเป็นชาวมุสลิม และคนที่ตอบโต้การลบหลู่ด้วยความรุนแรงถือว่าเป็นผู้ไม่ผ่านการทดสอบศรัทธา
บทความของเปรูระบุว่าสาเหตุหนึ่งที่ศาสนามักจะตกเป็นเป้าหมายของการลบหลู่มากที่สุดเพราะตัวศาสนาเองขับเคลื่อนด้วยการพยายาม 'ขาย' สิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติตามแนวคิดทางศาสนา
เปรูระบุอีกว่าถึงแม้การ์ตูนของชาร์ลี เอบโด เกี่ยวกับศาสนามูฮัมหมัดจะมีเป้าหมายทำให้ชาวมุสลิมรู้สึกถูกล่วงละเมิดทางความเชื่อ แต่ชาวมุสลิมเองก็สามารถเลือกได้ว่าพวกเขาจะเอาการ์ตูนที่วาดขึ้นมายึดถือเป็นเรื่องจริงจังหรือไม่ เพราะสำหรับเปรูแล้วสิ่งที่อยู่ในการ์ตูนไม่ใช่ตัวแทนของศาสดามูฮัมหมัดทำให้เขาไม่รู้สึกถูกล่วงละเมิด
"ทำไมพวกเราถึงมีสิทธิพิเศษในการถูกคุ้มครองจากคำวิพากษ์วิจารณ์ อะไรทำให้เรามีสิทธิพิเศษที่จะถูกงดเว้นทั้งๆ พวกเราเองก็วิพากษ์วิจารณ์ความเชื่อและอุดมการณ์อื่นๆ" เปรูระบุในบทความ
เปรูระบุอีกว่าการวิพากษ์วิจารณ์และการล้อเลียนหรือเสียดสีศาสนาควรจะทำให้พวกเรากลับมาฉุกคิดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเผยแพร่คำวิจารณ์หรือล้อเลียนเหล่านี้ พวกเขาพูดความจริงหรือไม่ ทำไมพวกเขาถึงตีความศาสนาอิสลามไปในรูปแบบนี้ การตีความทางศาสนาของพวกเขามีส่วนมาจากวิธีปฏิบัติของศาสนิกชนเองหรือไม่ หรือต่อให้ศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักอิสลามอย่างถูกวิธียังควรมีคนที่ดูหมิ่นพวกเขาหรือไม่ ซึ่งเปรูคิดว่าควรมีการตั้งคำถามแบบนี้อยู่ตลอด
"นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสนับสนุนเสรีภาพที่จะทำให้ผมรู้สึกถูกล่วงละเมิดทางความเชื่อ มันเป็นเสรีภาพ ไม่ใช่ความจำเป็น คนที่พยายามเรียกร้องเสรีภาพนั้นอาจจะมีความคับแค้นต่อความเชื่อของผมซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้" เปรูระบุในบทความ
"ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราควรสืบเสาะว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาคับแค้นคืออะไรหรือพวกเขามีวัตถุประสงค์อะไร หรือว่าการตีความของผมเองที่ผิดไป ต่อให้ตีความไม่ผิดแต่พวกเขาก็ไม่ได้บีบบังคับให้เราต้องเชื่อตามการแสดงออกของพวกเขา ผมมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะไม่ซื้อหนังสือพิมพ์ของพวกเขา ไม่ฟังพวกเขา หรือเปิดดูเว็บไซต์ของพวกเขา" เปรูระบุในบทความ
บทความของเปรูระบุอีกว่ามนุษย์เราในฐานะของกลุ่มคนที่ใช้พื้นที่ร่วมกันคือโลกใบนี้ไม่ควรจะอ่อนไหวต่อสิ่งต่างๆ มากเกินไปแต่ควรจะมีความเอื้อเฟื้อเปิดใจกว้างและแสดงเจตจำนงที่ดีต่อคนอื่น
"บางทีคำวิพากษ์วิจารณ์อาจจะเป็นหน้าฉากที่ซุกซ่อนความขุ่นเคืองใจเอาไว้ ซึ่งพวกเราต้องปฏิบัติโต้ตอบด้วยความรัก ความเมตตา และความเห็กอกเห็นใจ" เปรูระบุในบทความ
เรียบเรียงจาก
Why I support the freedom to offend me – Farouk A.Peru, The Malaysia Insider, 09-01-2015
http://www.themalaysianinsider.com/sideviews/article/why-i-support-the-freedom-to-offend-me-farouk-a.-peru