เรียงความเรื่อง "เมื่อฉันยังเป็นเด็ก ฉันวาดภาพบนขี้ดิน"

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

ในสมัยที่ฉันยังเป็นเด็ก มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิตของฉัน แต่เหตุการณ์ที่ฉันจำเอาไว้ได้เป็นอย่างดี คือเรื่องการวาดรูปพระพุทธเจ้าลงบนกลางข่วง

ในหมู่บ้านของเรานั้น บ้านแต่ละหลังจะมีลานดินที่เอาไว้ใช้งานเอนกประสงค์ เราจะเรียกมันว่า "กลางข่วง" กลางข่วงที่สวยงามจะต้องไม่มีหญ้าขึ้นรก จะต้องเป็นพื้นดินอัดแข็ง เราจะกวาดมันด้วยไม้กวาดทางมะพร้าวในทุกๆ วัน เช้าหรือเย็น เพื่อขจัดใบไม้ เศษขยะ และทำให้กลางข่วงสะอาดสะอ้านที่สุด

ในหน้าร้อน เราจะตักน้ำมารดกลางข่วง เพื่อไม่ให้ขี้ฝุ่นปลิวขึ้นสูงจนเกินไป และช่วยให้รอบบ้านๆ เย็นลง

ในหน้าหนาว เราจะก่อกลางไฟบนลานขี้ดิน หมกหัวโข่ เผาข้าวหลาม ตั้งกาน้ำร้อนต้มกินกัน ยิ่งกลางข่วงกว้าง ก็จะยิ่งรับรองคนได้มาก ใครๆ ก็ชอบกองไฟที่กองใหญ่ และแบ่งที่กันผิงอย่างอบอุ่น

ครั้นหน้าฝน ถ้าฝนตกน้อย กลางข่วงก็จะเย็นระรื่นเป็นพิเศษ ฝนจะทำให้กลิ่นขี้ดินหอมๆ ฟุ้งขึ้น ถ้าฝนตกหนัก เราก็วิ่งลงไปเล่นน้ำฝนกันบนลานข่วง เอาตีนเถลือกไถลไปมา เป็นเรื่องที่สนุกยิ่งนัก

ทั้งหมดที่ฉันเล่ามานี้ ก็เพื่อจะบอกว่า ฉันเป็นคนชอบกลางข่วงมาก แต่น่าเสียดายที่บ้านของเรามีกลางข่วงแค่แคบๆ เพราะเราอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ แค่นั้นเอง

ในทุกๆ วัน ฉันจึงไปอาศัยเล่นที่กลางข่วงของบ้านลุง ฉันเรียกว่าลุง แต่อันที่จริงเขาเป็นตาคนหนึ่งของฉัน เพราะบ้านเรามีญาติเยอะมาก เกิดก่อนเกิดหลังกันวุ่นวาย ไปๆ มาๆ เราจึงเรียกกันสับสนไปหมด

ดังนั้น ฉันเองจึงจะจำเอาไว้แค่ว่า ฉันมีพ่อหนึ่งคน มีแม่หนึ่งคน มีน้องหนึ่งคน มีพี่ๆ ห้าคน มียายสามคน มีตาสามคน ส่วนผัวใหม่เมียใหม่ของพวกตายายฉันไม่ค่อยนับญาติ และพวกน้าๆ ทั้งหลายก็มีจำนวนมากเกินไป จนไม่อยากจะนับเหมือนกัน

สำหรับลูกพี่ลูกน้อง ฉันจึงมีที่เป็นวัยเดียวกัน สนิทกันอยู่สามคน คนหนึ่งขี้แยมาก ร้องไห้ตลอดเวลา อีกคนขี้โกรธขี้โมโหมาก เราจึงตีกันบ่อย แต่ก็สนิทกันที่สุด ส่วนอีกคนเป็นเด็กหัวอ่อน ตัวก็อ่อนปวกเปียก ฉันจึงรำคาญเด็กขี้ไห้กับเด็กอ่อนแอมาก

มาถึงเรื่องกลางข่วงของฉันเสียที เพราะความที่ฉันไม่มีกลางข่วงกว้างๆ อย่างคนอื่น และบ้านของเรายากจนมาก พ่อแม่ไม่มีเงินนัก ฉันจึงมักตัดเอาใบตองอ่อนมาเป็นที่วาดเขียน และใช้ไม้เสียบใบยาสูบมาเป็นปากกา แต่กระดาษใบตองอ่อนนั้นมันฉีกง่ายมาก ซ้ำพวกเพื่อนหมาๆ ยังชอบแกล้งเอาไปเช็ดก้นเวลาไปขี้กันเสียบ่อยๆ

ในเวลาต่อมา ฉันจึงไปวาดรูปเล่นที่กลางข่วงบ้านลุงเสียเลย และในตอนนั้น ฉันก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นภาพพระพุทธเจ้านั่งบนดอกบัวยักษ์

มันเป็นภาพที่สวยงามมาก ดอกบัวมีสีชมพู พระพุทธเจ้านุ่งผ้าสีเหลืองทอง มีหอยขมเกาะอยู่เต็มมวยพระเกศา แต่แม่บอกว่านั่นไม่ใช่หอยขม ไม่เชื่อให้ฉันไปถามครูใหญ่

ฉันข้องใจเรื่องหอยขมบนหัวพระพุทธเจ้ามาก ฉันจึงไปหาครูใหญ่เพื่อจะถามว่า แล้วมันคืออะไร แต่ครูใหญ่มีงานยุ่งมากเกินไป ครูน้อยคนหนึ่งจึงบอกว่า ฉันมีพ่อเป็นปู่จารย์ ให้พ่อไปถามตุ๊น้าให้ก็ได้ ครูยังพูดอีกว่า ไม่เคยมีเด็กคนไหนสงสัยมาก่อนเลยว่า บนพระเกศาของพระพุทธองค์ เป็นหอยขมหรือเปล่า

เอาเป็นว่าแล้วในที่สุด ฉันก็ไม่ได้คำตอบในเรื่องนั้นอยู่ดี พวกผู้ใหญ่มักจะยุ่งอยู่เสมอ และถ้าเราถามอะไรมากๆ เข้า พวกเขาจะบอกว่า อยากรู้อะไรให้ไปถามครู พอบอกว่าฉันถามครูแล้ว ครูก็ไม่ตอบฉัน ทุกคนก็จะหัวเราะเหมือนมันขบขันมาก

กลับมาที่เรื่องการวาดรูปพระพุทธเจ้าบนกลางข่วงของฉันเสียที คือเมื่อฉันไม่มีคำตอบ ฉันก็เลิกสนใจไปเอง แล้วฉันจึงได้เลียนแบบจากหนังสือ วาดรูปพระพุทธเจ้านั่งบนดอกบัวยักษ์ลงบนลานกลางข่วง

ฉันคิดว่ามันช่างออกมาได้สวยงามมาก พระพุทธเจ้ามีหอยขมติดที่หัวมากมาย ฉันใส่ให้มันมีเยอะเป็นพิเศษ แล้วฉันก็วาดผ้าเหลืองให้พลิ้วๆ จนยาวเลยตักออกไป นอกจากนั้น ฉันยังวาดกบให้อาศัยอยู่ในดอกบัวด้วย

แต่...เมื่อมีคนเดินผ่านมา ก็เริ่มมีคนบอกฉันว่า ฉันไม่ควรทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ เพราะฉันวาดรูปพระพุทธเจ้าลงบนกลางข่วง ทำให้ใครๆ ก็ไม่สามารถเดินผ่านไปได้ จะไม่มีใครเหยียบย่ำภาพของพระพุทธเจ้า ทุกคนจะต้องเดินอ้อมออกไป และย่ำเข้ากับแปลงผักของยายแทน เมื่อน้าชายแบกหลาวกลับมาจากการเกี่ยวข้าว ก็ต้องมาพบกับภาพพระพุทธเจ้าของฉัน ทำให้น้าโมโหเพราะความเหนื่อยและหิว แทนที่จะลัดขึ้นบันไดบ้าน น้ากลับต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง

นั่นเพราะฉันวาดรูปพระพุทธเจ้าใหญ่มาก ใหญ่จนเต็มข่วง ขนาดต้องเขย่งตีนไปตามขอบๆ เหมือนกันเมื่อวาดเกือบเสร็จ

เหตุการณ์มาถึงตอนสำคัญ เมื่อมีเสียงกระดึงวัวควายแว่วมา ที่บ้านลุงจะมีวัวควายจำนวนมาก ทุกๆ เย็นพวกมันจะกลับมาเข้าคอก และต้องผ่านลานข่วง ยายคนหนึ่งเดือดร้อนมากว่าวัวควายจะย่ำลงไปในภาพพระพุทธเจ้าแน่ จะฟ้องเรื่องนี้ถึงพ่อแม่ของฉัน ถ้าไม่รีบลบภาพเสีย

ฉันเองได้ยินเสียงนั้น ก็พอจะเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเริ่มกลัวแม่ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ในเมื่อภาพที่ฉันวาดขึ้นนั้นเป็นถึงภาพพระพุทธเจ้า ฉันก็จึงจะใช้เท้าเขี่ยขี้ฝุ่นลบไม่ได้ แต่จะใช้ฝ่ามือมันคงไม่ทันการณ์แน่ ฉันไม่มีเวลาคิดแล้วจึงตัดสินใจลงไปนอนกลิ้งเอาตัวเองลบ ฉันลบภาพเสร็จทันเวลาพอดีที่วัวควายมุ่งหน้าเข้าประตูบ้านมา และตัวฉันก็เป็นขี้ฝุ่นไปตลอดตัว

แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า เมื่อพ่อแม่รู้เรื่อง พ่อก็หัวเราะฮ่าๆ บอกว่ามันไม่เห็นเป็นอะไร พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นของสูงที่เราเคารพกราบไหว้ แต่ภาพวาดบนลานดินขี้ฝุ่น ประเดี๋ยวเดียวลมก็พัดปลิวไป และพ่อยังแนะว่า ถ้าวันหลังมีใครว่าอีก ก็ให้บอกว่าไม่ใช่ภาพพระพุทธเจ้า ให้แก้โดยการลบหูให้สั้นลง เติมคอเสื้อ ใส่หนวด ใส่เข็มขัดที่เอวสักหน่อย ก็เป็นแค่รูปคนธรรมดาทันที จะข้ามยังไงก็ได้

ส่วนแม่บอกว่า วันหลังก็วาดให้ตัวเล็กลงหน่อย จะได้ไม่กินที่ทางเดินคนอื่น แล้วให้เอาผ้าเก่าไปสักผืน ไว้ลบขี้ฝุ่นไป และแม่ก็บ่นคนอื่นๆ ว่า เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นเรื่องเข้าจนได้ เพราะสนใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ฉันอยากจะเขียนเรื่องนี้ไว้เป็นเรียงความ เนื่องในวันเด็ก เพราะฉันจดจำเหตุการณ์นี้ได้ดีมาก ในวันที่ได้ข่าวว่ามีการฆ่ากันเพราะเหตุความเชื่อศรัทธาและการวาดภาพ ฉันเองเมื่อเติบโตมาแล้ว ก็ได้เรียนรู้การเคารพในความเชื่อศรัทธาของคนอื่น แต่ก็ประทับใจในสิ่งที่พ่อแม่ได้แนะนำไว้ โดยไม่ใช่การอบรมสั่งสอน วิธีของพ่ออาจเป็นการพลิกแพลงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่วิธีของแม่เป็นการอลุ้มอล่วยและให้ที่ว่างสำหรับความคิดสร้างสรรค์

ฉันอยากขอแสดงความเสียใจ กับการเสียชีวิตด้วยเหตุร้ายดังที่เกิดขึ้น และโดยเคารพในศรัทธาที่แตกต่างกัน ฉันคิดว่าเราควรขับเคลื่อนชีวิตกันด้วยอิสรภาพ ด้วยที่ว่าง ด้วยความเข้าอกเข้าใจ ด้วยความเมตตา ด้วยความเห็นค่าชีวิตอันเท่าเทียมกัน และเสรีภาพยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต

แต่ก็คงด้วยคำว่า "เสรีภาพ" นี้เอง ที่จึงทำให้ฉันเขียนเรียงความนี้ไปด้วยความรู้สึกเศร้ามาก วันนี้ฉันเองไม่ได้วาดภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศรัทธาของใคร แต่ฉันก็รู้ว่า มีคนอีกมากมายที่ไม่ได้จงใจจะเป็นปฏิบักษ์กับใครหรืออะไร แค่เพียงพวกเขาวาดภาพ แสดงออกในสิ่งที่คิด ที่สงสัย ที่ต้องการที่ว่างในการพูดคุยกันต่อ พวกเขาก็ถูกพิพากษาไปแล้ว

ฉันคงไม่มีอะไรจะกล่าวอีกสักเท่าไหร่ เพราะนี่ฉันก็เขียนมายาวมากแล้ว ผิดหลักการเขียนเรียงความแน่ๆ แต่ในสุดท้ายนี้ ฉันอยากจะบอกความลับว่า ฉันเชื่อของฉันมาจริงๆ นะ ว่าบนพระเกศาของพระพุทธเจ้า คงไม่ใช่หอยขมจริงๆ มันคงจะเป็นหอยโข่งมากกว่า

(ลงชื่อ, ภาพประกอบโปรดดูที่ในใจ)

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท