รุ่งอรุณของวันที่ 1 มกราคม 2558 นั้นเป็นเวลาที่บอกว่าวิกฤตการเมืองไทยที่ว่าด้วยการต่อสู้ทางการเมืองในแนวทางมวลชนที่แย่งชิงความชอบธรรมระหว่าง อำนาจทางประเพณีที่มีจุดศูนย์รวมอยู่ที่พระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ กับ อำนาจการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่รวมศูนย์อยู่ที่หีบบัตรเลือกตั้ง
ถ้าหากเรานับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 23 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ที่นั่งรวม 377 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้อันดับ 2 ด้วยจำนวน 96 ที่นั่ง
สำหรับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับ “ระบอบทักษิณ” จำนวนมาก ณ เวลานั้นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระบบแทบจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขา/เธอ เหล่านั้นจึงไม่เลือกวิธีการในโค่นระบอบทักษิณ ณ ช่วงเวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันมาก่อน แตกหักลง สนธิ ลิ้มทองกุล จึงกลายเป็นหัวหอกในการโค่น “ระบอบทักษิณ” ด้วยความฉลาดของสนธิ จึงได้หยิบยกเอาประเด็น “ถวายคืนพระราชอำนาจ” มาเป็นเครื่องมือ
ตลอดเวลา 9 ปี ที่ผ่านมาการเมืองไทยวนเวียนอยู่กับความขัดแย้ง 2 ขั้วนี้ จนก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งทางเศรษฐกิจ ความชะงักงันทางการเมือง ความสูญเสียทางชีวิตพลเมืองแทบทุกฝ่าย และยังไม่รวมถึงความร้าวลึกทางสังคมภายใต้การแบ่งขั้วทางการเมืองอีกด้วย
“ปฏิทิน 10 ปี วิกฤตการเมืองไทย [2548-2558]” ที่เป็นส่วนหนึ่งของงาน “เค้าดาวน์ เรารุ่ง 2558” (Coup Down People Rise 2015) ที่จัดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ณ “ร้านลาภ” อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จึงจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหมุดหมายให้ระลึกว่า เมื่อขึ้นปี 2558 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนก่อให้เกิดเป็นวิกฤตการเมืองไทยนั้นได้ผ่านมากี่ปีแล้ว
ส่วนใครจะนำมาเป็นบทเรียนและข้อสรุปเพื่ออนาคตนั้น เราไม่สามารถบอกได้ แต่เราก็หวังว่าคำปรามาสที่ว่า “ประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์” นั้นจะไม่เป็นจริง