หลังจากเกิดการปฎิวัติรัฐประหารขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม ภายใต้การปกครองของรัฐบาลรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการจัดให้มีการปฏิรูปประเทศไทยในด้านต่างๆ จนถึงขนาดมีการสรรหาสมาชิกปฏิรูปแห่งชาติขึ้น โดยมีภาคประชาชนหลายองค์กร นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายวงการ ตบเท้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้วย
คำถามคือ เราจะปฏิรูปประเทศกันอย่างไรภายใต้ระบบการปกครองในระบอบเผด็จการ ที่ ปิดกั้น ลิดรอน คุกคามสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนในรัฐได้ ระบอบเผด็จการจะพัฒนาประชาธิปไตยให้สมบูรณ์มากขึ้นได้อย่างไรกัน ข้าพเจ้าพยายามศึกษาการก่อตัวของระบอบเผด็จการที่เกิดขึ้นมาในโลก ล้วนแล้วแต่นำไปสู่การกุมอำนาจในหมู่ชั้นนำการแบ่งปันประโยชน์กันเอง จนสากลโลกเค้าสรุปบทเรียนกันออกมาแล้วว่าระบอบเผด็จการจะนำไปสู่ความล้มเลวของพลังของประชาชน
ยิ่งในเวลาอย่างนี้สถานการณ์ที่ทุกภาคส่วนของสังคมต่างถูกคุกคามสิทธิเสรีภาพโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการถูกไล่ให้ออกจากที่ดินทำกินของตน อย่างบ้านโนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้านคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ หรือบ้านคลองไทรพัฒนา จ.สุราษฎร์ธานี จนมาถึงการประกาศแผนสัมปทานปิโตรเลียม กิจกรรททางการเมืองมากมายที่เกิดขึ้นต่างถูกสั่งห้ามจัดทั้งงานเสวนาทางวิชาการที่จัดโดยเหล่าวิชาการเอง หรือกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางสังคมมากมายถูกสั่งห้าม เช่น ขาหุ้นพลังงาน ที่เดินเรียกร้องการปฏิรูปพลังงานของประเทศเพื่อความเป็นธรรม กลุ่ม 12 องค์กรภาคประชาชนภาคอิสานที่ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปรัฐบาลกับตามคุกคามเรียกตัวให้ผู้เข้าชื่อแถลงการณ์ฉบับนี้เข้ารายงานตัวแถมบังคับให้ลงชื่อในข้อตกลงหยุดเคลื่อนไหวทั้งหมด ทางด้านสื่อมวลชนไม่ต้องพูดถึงยังคงโดนคุกคามมาตั้งแต่เกิดดารรัฐประหารใหม่ๆ ผ่านมาร่วมครึ่งก็ยังคงอยู่ใต้ท๊อปบู๊ทขยับกันอะไรไม่ได้มากนัก แม้แต่พลังที่สังคมมองว่าเป็นพลังบริสุทธิ์อย่างนักศึกษาปัญญาชนที่เคยเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศในสมัยอดีต โดยหลายกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่เห็นด้วยกับการ รัฐประหารครั้งนี้ก็ถูกคุ้มตัวไปรายงานตัวกันสะหมด โดยที่เป็นข่าวใหญ่คือกลุ่มนักศึกษาดาวดินที่ไปชูสามนิ้วต่อหน้าต่อตา พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชาที่จังหวัดขอนแก่น จนเกิดเป็นกระแสที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลจากนักศึกษาหลายสถาบันทั่วประเทศ แม้นักศึกษาส่วนใหญ่จะถูกปล่อยตัวกันออกมากันหมดแต่ชีวิตในรั้วมหาลัยกลับไม่เหมือนเดิมต้องคอยกังวลการถูกคัดชื่อออกจากมหาลัย และ ถูกตามคุกคามความเป็นส่วนตัวจากทหารที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของนักศึกษา
นี้เป็นเพียงกรณีต่างๆเราที่พอจะรับรู้ได้ แต่ยังมีอีกมากหลายกรณีที่อยู่นอกเหนือความรับรู้ของข้าพเจ้า ยังมีอีกหลายคนหลายคนถูกจับกุมหลายคนถูกไล่ล่าต้องลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ
ในช่วงเวลาที่แสนยากลำบาก เราต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพที่ในอดีตเราเคยสูญเสียเพื่อสิ่งนี้ ท่ามกลางนโยบายต่างๆ ที่ดำเนินไปโดยปราศจากเสียงคัดค้านจากผู้ได้รับผลกระทบแต่อย่างได แต่กลับมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มยังคงนั่งอยู่ในสภาโดยใช้ภาษีของประชาชนโดยไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน ข้าพเจ้ายังมีคำถามใจมากมาย พวกท่านผู้มากความสามารถทั้งหลายที่นั่งอยู่ในสภาปฏิรูปยังคงเชื่ออยู่จริงหรือว่าการคุกคามเสรีภาพดังกล่าวจะนำประเทศไปสู่การปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ยังเชื่ออยู่จริงหรือกับอำนาจเผด็จการทหารเปื้อนเลือดที่ตัดตอนประชาธิปไตยของประเทศมาตลอดจะมีความจริงใจในการปฏิรูปประเทศและจะไปนำประเทศออกจากวิกฤตความขัดแย้งที่มีมานาน พวกท่านไม่รู้ตัวกันจริงๆ หรือว่ากำลังทำงานอยู่บนคราบน้ำตาและ ความหวาดกลัวของประชาชน ท่านกำลังเป็นเพียงตรายางในการแต่งอำนาจให้กับทหาร ทั้งทีพวกท่านทั้งหลายก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ แต่กลับมองไม่เห็นความเป็นจริงเหล่านี้ โดยข้าพเจ้าเชื่อย่างสุดหัวใจว่าการปฏิรูปประเทศต้องมาจากเสียงประชาชนไม่ใช่มาจากจากสภาเผด็จการ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)