Skip to main content
sharethis

จอม เพชรประดับ เผยคำชี้แจงกรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุก่อข่าวลือจนทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง หลังเปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก และ สัมภาษณ์จักรภพ ระบุทำหน้าที่สื่อมวลชน และตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วยความรัก ความศรัทธา

หลังจากเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นปิดตลาดลบ 36.46 จุด ดัชนี 1,478 จุด มูลค่าซื้อขาย 1 แสนล้าน โดยลงอย่างหนักในช่วงบ่ายกว่า 130 จุด จนกระทั่งวันต่อมา พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นดังกล่าว โดยอ้างว่ามีสาเหตุมาจาก รายการ Thaivoicemedia โดย จอม เพชรประดับ ที่เปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก และ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ทำให้เกิดข่าวลือไม่เหมาะสม ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดปัญหา

ล่าสุด จอม เพชรประดับ ได้เผยแพร่คำชี้แจงของตนเองถึงกรณีที่ถูก พล.ต.สรรเสริญ กล่าวหาดังกล่าว ในเว็บไซต์ Thaivoicemedia.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ถูก ICT ระงับการเข้าถึงในไทยมาก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุดังกล่าวนานแล้ว และ เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Jom Petchpradab’ โดยระบุว่า “เป็นอีกครั้งครับ ที่ผมต้องกลายเป็น "แพะรับบาปทางการเมือง" ในสงครามการแย่งอำนาจของการเมืองไทย ขอโปรดให้ความเป็นธรรม และกรุณารับฟังคำชี้แจงนี้ของผมบ้างครับ”

คำชี้แจง

จอม เพชรประดับ

กรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557

 

กรณี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศไทยว่า ผม (นายจอม เพชรประดับ) เป็นสาเหตุของการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนสร้างความตื่นตระหนก ทำให้หุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เรื่องนี้ สร้างความไม่สบายใจและเป็นกังวลให้กับผมอย่างยิ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพของผมเอง และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในการสัมภาษณ์ของผม จึงขอใช้โอกาสนี้ ชี้แจงทำความเข้าใจดังนี้

 

ประเด็นแรก – เรื่องข่าว “เบื้องหลัง สมเด็จพระบรม ทรงหย่า กับหม่อมศรีรัศมิ์” ที่อยู่ในเวปไซด์ “Thaivoicemedia.com” นั้น เป็นการอ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์ ซึ่งข่าวนี้ ผมได้พูดคุยกับบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์จริง และเหตุที่ได้นำเสนอข่าวนี้ออกไป เพราะเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนได้เข้าใจกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจและต้องการที่จะรับรู้อย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ สมเด็จพระบรมฯ มากยิ่งขึ้น เพราะข่าวที่ออกมาโดยส่วนใหญ่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า “หม่อมศรีรัศม์” เป็นฝ่ายถูกกระทำ

 

รวมทั้งการพูดถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วนั้น ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย

 

ผมตระหนักดีว่า จำเป็นที่จะต้องระบุชื่อแหล่งข่าวอย่างชัดเจน ในทุกข่าวที่นำเสนอ แต่กรณีนี้ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า หากระบุชื่อจริงลงไป ก็จะสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวอย่างมาก แม้จะเป็นการพูดด้วยความปรารถนาดีและด้วยความรัก ห่วงใยต่อองค์รัชทายาทก็ตาม ซึ่งนี่ก็คือความรับผิดชอบที่สำคัญของสื่อมวลชนด้วยเช่นเดียวกัน

 

ประการที่สอง – เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ผมได้แสดงทรรศนะ ความคิด ความเชื่อของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้ง ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมเป็นคนไทย คนหนึ่ง ที่มีสำนึกรักและศรัทธา สถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด แต่ในความเป็นสื่อมวลชน ก็ต้องอยู่กับข้อเท็จจริง ความเปลี่ยนแปลงผลิกผันของสังคมโลกยุคใหม่ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ที่ต้องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ ในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่ส่งผลและเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา

 

“สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ซึ่งถูกสร้างให้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ เป็นใจกลางของความเป็นประเทศไทย จึงถูกท้าทายด้วยปรากฎการณ์ใหม่นี้ วัฒนธรรมของสังคมใหม่ ที่เน้นการตั้งคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ในฐานะของสื่อมวลชน ซึ่งต้องทำงานบนพื้นฐานความสนใจและความเปลี่ยนแปลงใน สังคมโลกยุคปัจจุบัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเสนอ หรือพูดถึงปรากฎการณ์ดังกล่าว

 

แม้เป็น “สื่อมวลชน” แต่ด้วยความเป็น “คนไทย” การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก็เป็นไปด้วยความรัก ความศรัทธา และด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย การที่คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจใคร่รู้ในสถาบันอันเป็นสิ่งศรัทธาสูงสุดเวลานี้ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ การตรวจสอบ การตั้งคำถาม ล้วนแล้วอยู่บนความปรารถนาดีที่ต้องการช่วย พยุงให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง นี่คือความเชื่อมั่นและความรู้สึกนึกคิดของผมต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”

 

ประการที่สาม – การสัมภาษณ์ คุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตนักการเมือง ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ในประเด็น “ความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์ไทย” เป็นเหตุผลที่ต่อเนื่องจากคำอธิบายดังกล่าวข้างต้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คุณจักรภพ ให้สัมภาษณ์ในเชิงการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ได้ทำมาแล้วหลายครั้ง ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งร่วงลงอย่างที่สุดแต่อย่างใด

 

ประการที่สี่ – คุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารไทย พยายามยัดเยียดให้ผมเป็น “ทาสรับใช้ระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอธิบาย ชี้แจง และได้พิสูจน์ตัวเองในเรื่องนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

 

การทำหน้าที่สื่อมวลชนของผม ต้องใช้ความอดทน และพยายามอย่างยิ่ง ที่ต้องมั่นคงอยู่กับข้อเท็จจริง สร้างความเป็นธรรม และพยายามรักษาปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่วายต้องถูกต้องผลักไสให้ไปอยู่กับฝ่ายฝั่งตรงกันข้ามเสียทุกครั้ง

 

คงจำกันได้ ในยามที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ผมเองก็ถูกกระทำและถูกขัดขวางการทำหน้าที่สื่อมวลชน จนไม่อาจปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้จากอำนาจของฝ่าย “ระบอบทักษิณ” ด้วยเหมือนกัน

เป็นความไม่เป็นธรรมสำหรับผม อย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายที่ขัดแย้ง และพยายามแย่งอำนาจกันเอง แต่กลับทำให้ผมกลายเป็น “แพะทางการเมือง” เสียทุกครั้ง แม้ในยามนี้ที่ชีวิตของผมต้องประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด ในเวลานี้ ผมไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ จาก คุณทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองใด ๆ เลย มีเพียงเพื่อนพี่น้องคนไทยที่ห่วงใย และรักในบ้านเมืองไทยเท่านั้นเองที่คอยให้ความเมตตาช่วยเหลือผมอยู่ในขณะนี้

 

ผมขอวิงวอนว่า อย่าทำให้การปฎิบัติหน้าที่สื่อมวลชนของผมไปให้เครดิตกับ ระบอบทักษิณ หรือกลุ่มการเมืองใดอีกเลย

 

ประการสุดท้าย – ความผิดพลาด และล้มเหลวในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาลเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหลายเรื่อง หลายประเด็น ล้วนแล้วสร้างความเสียหายต่อคนไทยอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ และบุคคลที่อยู่ในคณะรัฐบาลควรจะหันกลับมาพิจารณาตัวเองมากว่า แทนที่จะโยนความผิดพลาดนี้ให้กับ ผม หรือ บุคคลอื่น

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อำนาจสูงสุดมาด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว แต่หากต้องพิสูจน์ความเสียสละและความจริงใจที่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และด้วยจิตใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบในความผิดที่เกิดขึ้น กรณีหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องโยนความรับผิดชอบนี้ไปที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะผู้รับผิดชอบเบื้องต้นมากกว่า แทนที่จะเอา ผม ไปเป็นแพะ เหมือนกับความล้มเหลวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านมีอำนาจสูงสุดในประเทศ

 

ขอย้ำและขอยืนยันอีกครั้งว่า แม้ผมไม่สามารถอยู่ในประเทศอันเป็นที่รักของผมได้ แต่ก็ยังคงยืนยันที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชนไทย เพื่อเรียกร้อง ปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินต่อไป เพื่อวันหนึ่งคนไทยทั้งประเทศจะได้ภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของประเทศไทยที่แท้จริง แม้สุดท้ายผมเองอาจจะไม่มีวันกลับมาตายในแผ่นดินอันเป็นที่รักของตัวเองก็ตาม

ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน

 

จอม เพชรประดับ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net