เปิดคำร้อง ‘จิตรา คชเดช’ ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ขอศาลรธน.วินิจฉัย กม.ที่ใช้คดีนี้ขัด รธน. ฉ.ชั่วคราว 2557 ม.4 ที่ยอมรับพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยยกกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สู้พลเรือนไม่ควรต้องขึ้นศาลทหาร ที่ไม่ให้สิทธิอุทธรณ์
วานนี้(9 ธ.ค. 57) ที่ กรมทหารพระธรรมนูญ จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เดินทางมาตามที่ศาลทหารนัดพร้อมคดี โดย จิตรา ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีตนนั้น ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และร้องขอให้ศาลส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและเลื่อนการพิจารณาพิพากษาเพื่อรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
โดยอัยการศาลทหารในฐานโจทก์ในคดีนี้ แถลงต่อศาลด้วยว่า พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ พยานโจทก์ที่นัดไว้มาศาลไม่ได้ เนื่องจากติดราชการเร่งด่วน ศาลทหารอนุญาตให้เลื่อนสืบพยานไปในวันที่ 6 มี.ค. 58
จิตรา คชเดช
สำหรับ จิตรา ถูกคำสั่ง คสช. ที่ 44/2557 เรียกรายงานตัวที่สโมสรกองทัพบก เทเวศร์ ในวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่ในขณะนั้นเธออยู่ในระหว่างเดินทางดูงานกิจกรรมสหภาพแรงงานที่สวีเดน และในวันที่ คสช.นัดได้เดินทางเข้ารายงานตัวกับสถานเอกอัครราชทูตไทยในสวีเดนแล้ว แต่ภายหลังกลับถูกออกหมายด้วยข้อหาดังกล่าว และเมื่อเดินทางกลับในวันที่ 13 มิ.ย. ตามกำหนดการที่วางไว้ล่วงหน้าจึงถูกควบคุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิและดำเนินคดีดังกล่าว (อ่าน : คุยกับ ‘จิตรา คชเดช’ ทำไมกลับไทยกับเงื่อนที่คสช.ผูกและกระบวนการทำให้เป็นนักโทษ)
สำหรับคำร้องที่ จิตรา ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยภาวิณี ชุมศรี ทนายความของจิตรา เป็นผู้เรียงและเขียนนั้น มีรายละเอียดดังนี้
ข้อ 1. คดีนี้ ศาลนัดพร้อมในวันนี้ จำเลยมีความเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับในคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงได้ทำคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 เรื่องความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 และฉบับที่ 38/2557 เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระทำหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอำนาจของศาลทหาร ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร 2498 มาตรา 10 และมาตรา 61 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้บังคับโดยตรงในคดีนี้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 และกล่าวคือ
1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า “ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้” จากบทบัญญัตินี้แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยอมรับว่าประเทศไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยประเทศไทยเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 โดยไม่ได้ตั้งข้อสงวนแต่อย่างใด และมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2540 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 2 (1) กล่าวว่า รัฐภาคีแต่ละรัฐแห่งกติกานี้รับที่จะเคารพและประกันแก่ปัจเจกบุคคลทั้งปวงภายในดินแดนของตนและภายใต้เขตอำนาจของตนในสิทธิทั้งหลายที่รับรองไว้ในกติกานี้ โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ” กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 (1) กล่าวว่า “บุคคลทุกคนย่อมเสมอภาคในการพิจารณาของศาลและตุลาการ ในการพิจารณาคดีอาญาอันบุคคลต้องหาว่ากระทำหรือการพิจารณาข้อพิพาททางสิทธิและหน้าที่ของตน ทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการพิจารณา อย่างเป็นธรรมและเปิดเผยในศาลที่มีอำนาจมีอิสระและเป็นกลาง ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย หนังสือพิมพ์หรือสาธารณชนอาจถูกห้าม รับฟังการพิจารณาคดีทั้งหมด หรือบางส่วนได้ก็ด้วยเหตุผลทางศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติในสังคมประชาธิปไตย หรือด้วยเหตุผลด้านความเป็นอยู่ ส่วนตัวของคู่กรณี หรือในกรณีศาลเห็นเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นพฤติกรรมการณ์พิเศษ ซึ่งการเป็นข่าวอาจทำให้กระทบต่อความยุติธรรม แต่คำพิพากษาในคดีอาญา หรือข้อพิพาททางแพ่งย่อมเป็นที่เปิดเผย เว้นแต่จำเป็นเพื่อผลประโยชน์ของเด็กและเยาวชน หรือเป็นกระบวนการพิจารณาคดีเกี่ยวด้วย ข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สินของคู่สมรส หรือการเป็นผู้ปกครองเด็ก ” กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 (5) กล่าวว่า “บุคคลทุกคนที่ถูกลงโทษในความผิดอาญา ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์การลงโทษ และคำพิพากษาต่อศาลสูงให้พิจารณาทบทวนอีกครั้งตามกฎหมาย” รายละเอียดปรากฏตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1 ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองทุกประการ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 1.2 คสช. ได้มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 37/2557 และฉบับที่ 38/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ที่กำหนดให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาบางประเภทที่เป็นพลเรือนอยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลทหาร รวมทั้งคดีของจำเลยด้วย ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ประเทศไทยในฐานะเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองยอมรับว่าจะเคารพและประกันแก่ปัจเจกบุคคลทั้งปวงภายในดินแดนของตนและภายใต้เขตอำนาจของตนในสิทธิทั้งหลายที่รับรองไว้ในกติกานี้ โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ ตามกติกาฯ ข้อ 2 (1) บทบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติที่มีสาระสำคัญว่า “จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่มีสาระสำคัญเหมือนกันให้เหมือนกัน และจะต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่มีสาระสำคัญไม่เหมือนกันให้แตกต่างกัน” แต่ประกาศคสช.ได้มีประกาศคสช. ฉบับที่ 37/2557 และฉบับที่ 38/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ที่กำหนดให้ (1) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ในหมวดความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา 107 ถึง มาตรา 112 และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึง มาตรา 118 และ (2) ความผิดตามประกาศคสช. อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ซึ่งเป็นคดีที่ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจมาจากทางการเมืองหรือเป็นคดีทางการเมืองทั้งสิ้น กล่าวคือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 ถึง มาตรา 112 และมาตรา 113 ถึง มาตรา 118 อยู่ในลักษณะ 1 ของประมวลกฎหมายอาญา อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นความผิดทางการเมืองแท้ ปรากฏตามคำอธิบายกฎหมายอาญา จิตติ ติงศภัทิย์ เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2 ส่วนความผิดตามประกาศคสช. เป็นความผิดที่มีในภายหลังจากการประกาศยึดอำนาจของคสช.เพื่อเป็นมาตรการในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ หากไม่มีการยึดอำนาจการกระทำดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด ดังนั้นการประกาศความผิดจึงเนื่องมาจากเหตุทางการเมือง การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในฐานนี้จึงเป็นการดำเนินคดีอันเนื่องมาจากเหตุผลทางการเมืองโดยแท้ เดิมคดีตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมที่เป็นศาลพลเรือน แต่เนื่องจากมีการประกาศให้คดีทางการเมืองอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารดังกล่าว ทำให้พลเรือนที่กระทำความผิดอาญาในคดีที่เกี่ยวเนื่องมาจากเหตุทางการเมืองต้องถูกพิจารณาพิพากษาโดยศาลทหาร การกำหนดให้พลเรือนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาตามที่ระบุไว้ในประกาศทั้งสองฉบับต้องได้รับการพิจารณาจากกระบวนการพิจารณาอย่างอื่นแตกต่างออกไป โดยมิอาจค้นหาเหตุที่สมควรได้ว่าเหตุใดบรรดาความผิดที่พลเรือนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดที่มีสาระสำคัญเป็นความผิดอาญาเช่นเดียวกันต้องได้รับการพิจารณาจากกระบวนการพิจารณาที่แตกต่างจากความผิดอาญาอื่นๆ ในกรณีเช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า ประกาศคสช.ทั้งสองฉบับเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลเนื่องจากการแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่น และเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยปราศจากเหตุที่เหมาะสม จำเลยขอเรียนว่า ความเสมอภาค ซึ่งถือเป็นแก่นสำคัญของความยุติธรรม หากจงใจละเลยหลักการดังกล่าวด้วยการบัญญัติเป็นกฎหมาย เช่นนี้แล้ว กฎหมายดังกล่าวย่อมไม่ได้เป็นเพียงแค่ “กฎหมายที่ไม่ถูกต้อง” เท่านั้น แต่หาได้มีสภาพเป็นกฎหมายแต่อย่างใด หากผู้พิพากษาและตุลาการจะบังคับใช้กฎหมายอันถือว่าเป็นบทบัญญัติที่ละเมิดหลักความเสมอภาคและหลักการไม่เลือกปฏิบัติ ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี การณ์จะกลับกลายเป็นว่า ผู้พิพากษาและตุลาการที่ใช้กฎหมายหรือยอมรับผลของกฎหมายอันละเมิดต่อหลักความเสมอภาค จะต้องตัดสินคดีไปตาม “ความอยุติธรรม” แทนที่จะเป็นการตัดสินคดีไปตาม “ความยุติธรรม” การใช้กฏหมายที่อยุติธรรมพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายตามมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญจึงมิอาจเกิดขึ้นได้ ประกาศคสช. ฉบับที่ 37/2557 และฉบับที่ 38/2557 เป็นการบัญญัติกฎหมายอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพให้มีผลใช้บังคับกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่งโดยเฉพาะโดยเฉพาะ เป็นเลือกปฏิบัติโดยอาศัยเหตุทางการเมือง จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 และไม่อาจใช้บังคับได้
1.3 จากบทญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 2 (1) และข้อ 4 (1) และ (5) ดังกล่าวที่ว่า บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม โดยคณะตุลาการที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลางในการพิจารณาวินิจฉัยคดี และบุคคลที่ต้องคำพิพากษาลงโทษในความผิดอาญา ย่อมมีสิทธิที่จะให้คณะตุลาการระดับเหนือขึ้นไปพิจารณาทบทวนคำพิพากษาโดยเป็นไปตามกฎหมาย และผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรคดีให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่ปรากฏว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 5 ประกอบมาตรา 10 ที่บัญญัติให้ศาลทหารอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม โดยผู้บังคับบัญชาทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหาร โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากตุลาการศาลทหารก่อน จึงขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 และขัดกับหลักความเป็นอิสระของตุลาการตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ที่ให้อำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แยกขาดและเป็นอิสระจากกัน เพื่อให้แต่ละอำนาจสามารถถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกัน หากมีอำนาจใดอำนาจหนึ่งเหนือกว่าอำนาจอื่นๆ อาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “อำนาจฉ้อฉลฉันใด อำนาจเบ็ดเสร็จฉ้อฉลเบ็ดเสร็จฉันนั้น” (Power tends to corrupt, absolute power corrupts absolutely.) นอกจากนี้ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 61 วรรคสอง ที่ห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติหรือเวลาที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ขัดกับมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 4 (5) ทำให้จำเลยไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาในคดีนี้ อันเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของจำเลยอย่างชัดเจน จึงทำให้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 5 มาตรา 10 และมาตรา 61 วรรคสอง จึงไม่อาจนำมาใช้บังคับกับจำเลยในคดีนี้ได้ ข้อ 2. แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จะมิได้มีการบัญญัติถึงอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญไว้อย่างชัดแจ้ง แต่หากพิจารณาตามมาตรา 5 วรรค ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ได้บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้การกระทำนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ประเพณีการปกครองดังกล่าวต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้” จำเลยจึงขอเรียนต่อศาลว่า ตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สืบทอดมาจนกระทั่งปัจจุบันได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ประกอบกับมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลใช้บังคับในคดีนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องฉบับนี้ของจำเลยได้ จำเลยจึงขอศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดมีคำสั่งรับคำร้องของจำเลยไว้วินิจฉัยด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว จำเลยจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของจำเลยและวินิจฉัยว่าประกาศคสช. ฉบับที่ 37/2557 และฉบับที่ 38/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 5 มาตรา 10 และมาตรา 61 วรรคสอง ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 และมาตรา 26 และไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับกับจำเลยในคดีได้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด |