เหตุใดและทำไม เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ยังคงวนเวียนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นระยะ รูปแบบวิธีปฏิบัติอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่บริบทเนื้อหาภายในก็ยังคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน
เหตุใดและทำไม ผู้กุมอำนาจรัฐในรุ่นต่อมา จึงยังคงกระทำการซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ คล้ายกับว่า ยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ในอดีต รวมถึงไม่ได้ทบทวนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพื่อจะนำมาใช้แก้ไขปัญหาในปัจจุบันเลย
แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้สืบทอดอำนาจรัฐรุ่นต่อมาที่เติบโตขึ้นภายใต้กงล้อประวัติศาสตร์นี้ได้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต จนกระทั่งได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ขั้นตอนและวิธีการเข้าสู่อำนาจ การรักษาไว้ซึ่งอำนาจ รวมทั้งการขยายขอบเขตแห่งอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วว่า มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเสมอ ไม่ว่ากาลเวลาและสังคมจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นใด ดังนั้นจึงดำเนินรอยตามวิธีการปฏิบัติดังแบบอย่างที่คนรุ่นก่อนเคยกระทำเรื่อยมา โดยเชื่ออย่างสนิทใจว่า จะสามารถควบคุมสภาพการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะมีการตอบโต้จากฝ่ายประชาชนผู้เสียประโยชน์หรือไม่อย่างไร กลุ่มคนเหล่านั้นยังคงเชื่อมั่นอย่างมิเสื่อมคลายว่า เอาอยู่ และสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้ ดังผลที่ปรากฎชัดแจ้งแล้ว ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อกลุ่มคนรุ่นหลังที่จะเลียนแบบอย่างความสำเร็จ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า แม้วันเวลาได้ผันแปรไปอย่างมีพลวัตแล้ว แต่ผู้กุมอำนาจรัฐยุคปัจจุบันกลับยึดติดอยู่ในมโนทัศน์ กรอบแนวคิด และความเพ้อฝันถึงวันวานในสังคมแบบจารีตดั่งเดิมไม่เสื่อมคลาย
1. สังคมแห่งสยามประเทศที่ผ่านมา มีรูปแบบการปกครองโดยการควบคุมกลุ่มคนตามลำดับชั้นที่เรียกว่า ระบอบศักดินาอนุรักษ์ทุนนิยม โดยมีกลุ่มชนชั้นนำทางอำนาจที่สืบเชื้อสายจากวงศ์ตระกูล กลุ่มนายทุนผู้ใกล้ชิดที่ได้ประโยชน์จากการผูกขาด กลุ่มทหาร กลุ่มข้าราชการนักวิชาการ เป็นผู้กำหนดนโยบายและวางกรอบกติกาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยการสร้างความได้เปรียบให้กับกลุ่มตนเองเพื่อผลประโยชน์พรรคพวกเพื่อนพ้องและวงศาคณาญาติ พร้อมกับสร้างอุปสรรคและเงื่อนไขกีดกันในการเข้าถึงทรัพยากรของกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม ต่อมาความขัดแย้งดังกล่าวนี้ก็เกิดการปะทุและขยายตัวทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ระหว่างกลุ่มผู้ปกครองและกลุ่มผู้ใกล้ชิด กับกลุ่มทุนรุ่นใหม่ ประชาชนหัวก้าวหน้า นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการปลดปล่อยพันธนาการจากความเชื่อดั่งเดิม ไม่ต้องการถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป
2. เกิดการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค โดยมีอุดมการณ์ขั้นพื้นฐานที่ต้องการให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฏระเบียบเดียวกัน พร้อมทั้งมีการบังคับใช้กฎหมายที่เที่ยงตรงและเป็นธรรม ต้องการความโปร่งใสที่สามารถพิสูจน์ตรวจสอบได้ นั่นคือ ต้องการสถาปนา ระบบยุติธรรม ให้ยั่งยืน ไม่ใช่ระบบที่ ยุติ-ความเป็นธรรม รวมถึงต้องการคัดเลือกตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์อย่างเป็นอิสระ ปราศจากการชี้นำจากศูนย์กลางอำนาจ
3. มีการตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เช่น การอ้างถึงภัยจากคอมมิวนิสต์ การอ้างถึงภัยที่จะมาทำลายสถาบันหลักของชาติ ใช้เป็นข้ออ้างในการปลุกระดมมวลชน พร้อมทั้งขยายแนวร่วมไปยังกลุ่มอื่นในสังคม เช่น กลุ่มชนชั้นนำตามจารีต ข้าราชการ นักวิชาการ พระสงฆ์ รวมถึงผู้มีการศึกษาสูงและประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
มีการประดิษฐ์มุสาวาทกรรมและผลิตซ้ำถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อขยายประเด็นความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น สร้างกระแสความโกรธแค้นชิงชังโดยไร้เหตุผล จนไม่สามารถค้นหาตรรกะทางปัญญาใดๆ มาอรรถาธิบายได้กระจ่างแจ้ง เช่น ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป หรือ ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน เป็นต้น รวมทั้งตราหน้าคนเหล่านั้นว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติและประชาชน
4. เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร มีการใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ที่มีความคิดแตกต่าง รวมทั้งกล่าวอ้างว่า กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังต่างชาติ ข้ออ้างอันศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ไม่ว่าเวลาจะผันเปลี่ยนไปนานเท่าไร นั่นคือ การกล่าวอ้างความชอบธรรมที่ผูกขาดไว้เฉพาะกลุ่มตนเท่านั้น อ้างถึงความซื่อสัตย์สุจริต ความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ดังนั้นจึงมีเหตุผลและความจำเป็นอย่างสูงสุดที่จะต้องเข้ามาควบคุมเพื่อยุติความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่และเป็นภารกิจอันชอบธรรมของผู้พิทักษ์รักษา พร้อมทั้งมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองได้อยู่ในสังคมอย่างมีความสงบสุข
ทั้งนี้แนวคิดอันทรงพลานุภาพและถูกปลูกฝังให้เชื่อเช่นนั้นตลอดมาว่า ประชาธิปไตยที่มาจากสังคมตะวันตกนั้น ยังไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความศึกษาต่ำ จึงไม่เข้าใจวิถีทางประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ทำให้ถูกโน้มน้าวทางความคิดและถูกชักจูงใจได้ง่าย รวมถึงยังขาดจิตสำนึกพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญของกลุ่มผู้ยึดกุมอำนาจจะต้องเข้ามาปฏิรูป ตลอดจนสถาปนาระบอบคุณธรรมจริยธรรมขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่เหมือนใคร เป็นรูปแบบเฉพาะอย่างไทย ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาส่วนอื่นบนโลกใบนี้ไม่มีวันเข้าใจและเข้าถึงได้ รวมทั้งรักษาอัตลักษณ์และคุณลักษณะอันดีงามตามขนบจารีตนิยม
อาวุธที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การโฆษณาชวนให้เชื่อ เคลิบเคลิ้มและคล้อยตาม คำปลอบประโลมให้ฝันถึงและเฝ้ารอวันใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทั้งจากการบอกกล่าวเล่าขานนิทานยามเย็นหรือเสียงกระซิบจากสายลม รวมถึงการบัญญัติค่านิยมพื้นฐานแห่งรัฐที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยแอบอิงกับศาสนาและความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ มีการสร้างขอบเขตแห่งฝันเพื่อให้ทุกคนไขว้คว้าไปให้ถึง โดยกลุ่มคนที่มีความเชื่อความศรัทธาแบบเดียวกันเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์อยู่ในวิมานแดนสุขาวดีนี้
5. เกิดการไล่ล่าผู้เห็นต่าง โดยผ่านกระบวนการทางกฎหมายและรวมทั้งตั้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างอย่างเข้มงวดกวดขัน แต่ย่อหย่อนกฎเกณฑ์สำหรับกลุ่มของพวกตนเอง
6. ตั้งรัฐบาลเผด็จการแนวอนุรักษ์นิยมที่เน้นผู้มีภาพลักษณ์ดีงามตามแบบแผน มีนโยบายหลักในการขจัดคอรัปชั่นให้หมดไปโดยเร็ว สร้างสังคมแห่งการพอเพียง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถสร้างผลงานได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเกิดคำถามในเรื่องความโปร่งใสที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
7. จัดทำรัฐธรรมนูญและสร้างกฎเกณฑ์ให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้ง เพิ่มอำนาจข้าราชการประจำ รวมถึงโยกย้ายข้าราชการเพื่อสร้างความได้เปรียบ
8. ตั้งพรรคการเมืองหรือสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค เลือกตั้งแล้วพ่ายแพ้ ในที่สุดได้รัฐบาลฝ่ายตรงข้าม
9. เกิดความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ ระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับกลุ่มศักดินาอนุรักษ์ทุนนิยม และวนเวียนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น อย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เปลี่ยนแปลง
กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเสมอ ในการให้บทเรียนแก่อนุชนรุ่นหลังได้เห็นถึงสังคมที่มีกระบวนการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ซึ่งเป็นธรรมดาแห่งโลก เป็นกฎที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้ดีแล้ว ทั้งนี้หากคนรุ่นต่อมาได้สรุปบทเรียนอย่างครุ่นคิดและใส่ใจ และพร้อมใจกันหยุดยั้งเหตุการณ์ในอดีตไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมในปัจจุบันแล้ว ในที่สุดสังคมนั้นก็จะสามารถก้าวผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งเพื่อไปสู่สังคมที่มีความก้าวหน้าในลำดับต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบททดสอบใหม่ที่รอคอยให้คนในสังคมได้ร่วมแรงร่วมใจกันฟันผ่าอุปสรรค ความยากลำบาก เพื่อยกฐานะแห่งความเสมอภาคนั้นไปสู่หมู่คนทุกชนชั้น และเพื่อให้กงล้อแห่งประวัติศาสตร์นี้ได้หมุนเวียนเปลี่ยนทิศทางไปสู่เส้นทางใหม่ ในอันที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งเพื่อความผาสุกแห่งสังคมโดยรวมต่อไป