30 ต.ค. 2557 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม มีแนวคิดขอคนในฝ่ายตุลาการ หรือศาล มาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ทั้งที่ นายสราวุฒิ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้แถลงย้ำถึงจริยธรรมศาล ผู้พิพากษาว่า ไม่ควรไปเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมือง ว่า ตนขอให้รัฐบาลและรัฐมนตรีทุกกระทรวงตั้งหลักให้ดี ในการจะขอบุคคลจากศาล หรือผู้พิพากษามาเป็นที่ปรึกษาหรือคณะทำงาน เพราะที่สุดแล้วจะเป็นการทำลายระบบศาลและกระบวนการยุติธรรมไทยซ้ำเติมลงไปอีก เนื่องจาก คสช.ไม่ทราบถึงต้นตอความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ปี 2549 ที่ประชาชนไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมือง ทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ จึงมีการออกแบบรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายตุลาการซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจหลักในระบอบประชาธิปไตยไทย เข้ามาช่วยพยุงอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
นายนิพิฏฐ์ กล่าววต่อว่า ขณะนั้น มีการให้ฝ่ายศาลเข้ามาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรอิสระเพื่อตรวจสอบฝ่ายการเมือง จนถูกเรียกว่า ยุคตุลาการภิวัฒน์ จนฝ่ายการเมืองไม่ยอม และสร้างวาทกรรมโจมตีฝ่ายตุลาการว่า ยุติธรรม 2 มาตรฐาน ที่สุดระบบการปกครองของไทย จึงพังระเนระนาดทั้งระบบ วันนี้รัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจาก คสช.ยังพยายามดึงเอาบุคลากรจากฝ่ายตุลาการเข้ามาในวังวนของการเมือง ทั้งที่ฝ่ายตุลาการได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า ขอย้ำเตือนไปยัง คสช.ว่า หากจะยังพยายามดึงบุคลากรจากฝ่ายตุลาการเข้ามาอีก ที่สุดจะเป็นการทำผิดซ้ำซ้อนและสร้างวิกฤติตุลาการรอบใหม่ขึ้น แม้กระทั่งนายพรเพชร วิชิตชลชัย อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่มาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา คสช.และประธาน สนช. เช่นวันนี้ ตนยังรู้สึกไม่สบายใจ และขอเตือนถึง สปช.หรือ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ต้องเอาศาลหรือบุคลากรฝ่ายตุลาการออกจากกระบวนการ หรือวังวนทางการเมืองให้หมด ไม่เช่นนั้นเมื่อเกิดวิกฤติใดขึ้นจะไม่เหลืออำนาจใดไว้พยุง โดยเฉพาะฝ่ายศาลก็จะพังลงทั้งระบบ เพราะอำนาจหลักทั้ง 3 ควรจะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
รองเลขาฯ ศาลยุติธรรม ย้ำประมวลจริยธรรมศาล ชี้ผู้พิพากษาไม่ควรเป็นขรก.การเมือง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีการแต่งตั้งผู้พิพากษาไปเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ชำนาญการประจำตัวสนช. และผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสนช. ว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม มาตรา 59 กำหนดว่า ข้าราชการตุลาการต้องไม่เป็นข้าราชการทางการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมาตรา 41 ระบุว่าสามารถยกเว้นได้นั้น แต่ผู้พิพากษามีประมวลจริยธรรมกำกับไว้อีกชั้นหนึ่งซึ่งสูงกว่ากฎหมายเพราะเป็นข้อห้ามเรื่องการไปประกอบวิชาชีพอย่างอื่นที่ผู้พิพากษาจะต้องปฏิบัติตาม แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่มติของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เป็นหลัก หากมติ ก.ต. ไม่เห็นชอบในเรื่องดังกล่าว แม้ว่าจะมีการประกาศแต่งตั้งไปแล้วหรือโปรดเกล้าฯ แล้วก็ตาม แต่ผู้พิพากษาก็คงไม่สามารถไปรับตำแหน่งทางการเมืองได้ ซึ่งคงจะต้องรอดูความชัดเจนในที่ประชุม ก.ต. ในวันที่ 17 พ.ย.นี้
นายสราวุธ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันนายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา ท่านก็ได้แสดงจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา ว่าต้องมีความเป็นอิสระของสถาบันตุลาการและมีความเป็นกลาง ต้องปฏิบัติตัวตามระเบียบแบบแผนและประเพณีปฏิบัติของทางราชการ และประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทาง ก.ต. จะนำมาประกอบการพิจารณาด้วยทั้งหมด ซึ่งถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติไม่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 41 ยกเว้นไว้ เรื่องดังกล่าวก็คงไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ และมติชนออนไลน์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)