Skip to main content
sharethis

เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ จัดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "การยกระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวของไทย" โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจทางเลือกการพัฒนาประเทศ การเสนอนโยบายสาธารณะที่เหมาะสมเกี่ยวกับนโยบายมหภาคและการเงินการคลังต่อกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ให้เกิดการแสดงความคิดเห็นอย่าง “ถูกเรื่อง” ในแนวทางของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจร่วมกัน 

สำหรับผลการศึกษาครั้งนี้เป็นผลการศึกษาในปีแรกที่มุ่งหาแนวทางขยายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ Higher Growth ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง

ทั้งนี้การเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น (Higher Growth) นั้น มีปัจจัยเกี่ยวข้องหลายประการที่ต้องปรับปรุงและยกระดับไปพร้อมกัน ได้แก่ การยกระดับเทคโนโลยี การปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ตลาดแรงงานในบริบทการพัฒนาประเทศ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้สูงอายุและผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปชันกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ  และยังต้องคำนึงถึงปัจจัยเชิงสถาบันที่จะเอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายที่สร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ในส่วนของการปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลาง นักวิจัยได้เร่งศึกษาแนวทางที่จะทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ภายใต้หลักธรรมาภิบาล หลังพบอัตราการขยายตัวของไทยเป็นไปอย่างค่อนข้างช้า นับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแม้ประเทศไทยถูกจัดเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่เติบโตแบบก้าวกระโดดหลังสงครามโลกครั้งที่สองหรือโตเฉลี่ยปีละ 7% โดยอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน แต่ในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลดต่ำลงมาโดยขยายตัวเฉลี่ยเพียงปีละ 4% เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสุ่มเสี่ยงว่าไทยกำลังตกอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap: MIT)

ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงทีดีอาร์ไอ ระบุว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับการยกระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ไทยต้องคำนึงนั่นคือ การยกระดับเทคโนโลยีในภาพรวม (Technological Upgrading) โดยต้องแก้ปัญหาโดยใช้ระบบตลาดควบคู่ไปกับการส่งเสริมที่ถูกทางของภาครัฐซึ่งรวมถึงปัจจัยเชิงสถาบันทางด้านการเมืองด้วย ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานและมีกระบวนการที่ต่อเนื่องพอสมควร

การศึกษาวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดจากงานวิจัยของ Khan (2007) ซึ่งเสนอแนวคิด Growth Enhancing Governance หรือระบบธรรมาภิบาลเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างกับระบบธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมกลไกตลาด (Market- Enhancing Governance) ที่ใช้กันค่อนข้างมาก งานวิจัยของ Khan (2012) เป็นงานวิจัยที่ควรนำมาปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย Khan (2007) ถึงกับตั้งข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยในระยะ 10 ปีหลังเป็นโอกาสของการก้าวสู่ Growth Enhancing Governance   เพราะฝ่ายบริหารเข้มแข็งขึ้นจนมีศักยภาพในการเป็นผู้นำในการเติบโตได้ แต่พบว่าไทยกลับเสียโอกาสนั้นไปเนื่องจากไม่มีการกระจายอำนาจการเมืองไปสู่ภาคส่วนอื่นอย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือเกิดการเมืองแบบผูกขาดภายใต้หน้ากากประชาธิปไตย (Authoritarianism with democratic face) ซึ่งก่อให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง (unproductive rent) มากกว่าการสนใจต่อ Technological upgrading อย่างแท้จริง

ดร. สมชัยได้เสนอแนะแนวมาตรการเชิงสถาบัน 4 ด้าน คือ ประการแรกต้องควบคุมคอร์รัปชัน ประการที่สอง เพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมืองให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศและปฏิรูปการเมืองให้นักการเมืองต้องตอบโจทย์ระยะยาวของประชาชน ประการที่สาม สร้างกลไกให้เกิดการส่งผ่านเสียงประชาชนที่เรียกร้องทางการเมืองเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโต ประการสุดท้ายคือควรปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำแนวนโยบายลักษณะ growth enhancing ไปสู่การปฏิบัติได้จริง

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงทีดีอาร์ไอ เตือนว่าการปฏิรูปใดๆ ควรคำนึงถึงโครงสร้างอำนาจด้วย ซึ่งหมายถึงว่าการปฏิรูปควรทำอย่างรอบด้านไม่ใช่เพียงแก้ไขมาตรการใดมาตรการหนึ่ง เชื่อว่าหากมีการปรับตัวขนานใหญ่ภายใต้ระบบหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยเน้นส่งเสริมการลงทุนไปยังกลุ่มเป้าหมายธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง เพื่อให้ภาคธุรกิจบริการมีศักยภาพสูงขึ้น ความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจของไทยก็จะตามมาในที่สุด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net