Skip to main content
sharethis

งานวิจัยชี้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เยาวชนขายบริการทางเพศ และเยาวชนที่ใช้สารสพติดชนิดฉีด


ที่มา: บล็อกยูนิเซฟ ประเทศไทย

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2557 ยูนิเซฟออกงานวิจัยล่าสุด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาระลอกใหม่จากกรณีที่มีเยาวชนติดเชื้อเอชไอวีและเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้น โดยร้อยละ 70 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่ในกลุ่มประชากรอายุระหว่าง 15-24 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เยาวชนที่ขายบริการทางเพศ และเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น

การศึกษาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มเยาวชนในประเทศไทย” เก็บข้อมูลจากเยาวชนประมาณ 2,000 คนในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย สาวประเภทสอง เยาวชนหญิงที่ขายบริการทางเพศ แรงงานข้ามชาติ และเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา และอุบลราชธานี การศึกษาชิ้นนี้ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ ใช้วิธีการสัมภาษณ์และวิธีสุ่มข้อมูลแบบแกนนำเริ่มต้น เพื่อศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชน ตลอดจนทบทวนนโยบายและบริการต่างๆ ที่มีอยู่สำหรับเยาวชนกลุ่มนี้

“เยาวชนเป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เนื่องจากมักขาดทักษะในการควบคุมสถานการณ์เสี่ยง ประกอบกับการดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด” โรเบิร์ต แกส หัวหน้าแผนกเอชไอวี/เอดส์ ขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยกล่าว

“นอกจากนี้โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์หาคู่ และแอปพลิเคชันต่างๆ ในมือถือในปัจจุบันยังเอื้อให้เยาวชนพบปะกันเพื่อมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วครั้งชั่วคราวกันได้ง่ายขึ้น”

การศึกษาครั้งนี้อ้างอิงข้อมูลระดับประเทศซึ่งระบุว่า ร้อยละ 41 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทย คือ กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และชี้ให้เห็นว่าเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มชายหญิง

พงศ์ธร จันทร์เลื่อน ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพลัส ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางเพศในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสองในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า แม้เยาวชนจะทราบดีถึงความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศ แต่เยาวชนจำนวนมากมักอายที่จะไปซื้อถุงยาง หรือไม่ก็ไม่ใช้ถุงยางเมื่อถึงเวลามีเพศสัมพันธ์จริงๆ

ในส่วนของหญิงขายบริการแบบประจำในสถานบริการในประเทศไทย ความชุกของเชื้อเอชไอวีลดลงจากร้อยละ 2.8 ในปี 2551 เหลือร้อยละ 1.8 ในปี 2554 อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าหญิงขายบริการทางเพศมักจะใช้ถุงยางอนามัยกับลูกค้าขาจรมากกว่าคู่รักหรือคู่นอนประจำ

การศึกษายังระบุว่าเยาวชนหญิงที่ขายบริการทางเพศแบบเป็นครั้งคราวมักมีความสามารถในการต่อรองในการใช้ถุงยางอนามัยกับลูกค้าได้น้อยกว่าหญิงขายบริการแบบประจำเป็นอาชีพ นั่นหมายความว่า หากเยาวชนที่ขายบริการทางเพศได้รับเชื้อ ก็จะมีโอกาสสูงในการแพร่เชื้อให้แก่คู่รักหรือคู่นอนประจำของตนเอง ซึ่งปัจจุบันนี้พบว่า ประมาณหนึ่งในสามของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทย คือ คู่รักของบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง

การศึกษาครั้งนี้ยังระบุว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติคือกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และเป็นกลุ่มที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการฟรีและข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านภาษาและด้านการเงิน

นอกจากนี้ เยาวชนทุกกลุ่มจากการศึกษาครั้งนี้ยังสะท้อนถึงประสบการณ์ด้านลบจากการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ หลายคนระบุว่าข้อมูลของพวกเขาไม่ถูกปกปิดเป็นความลับ และเจ้าหน้าที่ไม่เป็นมิตรหรือแสดงความรังเกียจต่อพฤติกรรมของเยาวชน  ซึ่งทำให้เยาวชนไม่อยากไปใช้บริการในโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการของรัฐ

“การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า แรงสนับสนุนทางสังคมเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่จะช่วยปกป้องเยาวชน คือเยาวชนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือมีแรงสนับสนุนจากครอบครัว มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเสี่ยงน้อยกว่าเยาวชนที่ไม่มี” โรเบิร์ตกล่าว

ยูนิเซฟเห็นว่าประเทศไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีมาตรการรับมือกับปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่เยาวชน ซึ่งรวมถึงการมีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งมาตรการเหล่านี้ควรกำหนดในระดับท้องถิ่น และให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการวางแผนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา

“หนึ่งในข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ ก็คือ เราเรียกร้องให้มีการลดอายุสำหรับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีและการให้คำปรึกษา จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 18 ปี” โรเบิร์ตกล่าว

“ถ้าเยาวชนคนใดก็ตามรู้สึกว่าตนเองไปทำอะไรที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี พวกเขาควรมีสิทธิไปตรวจเลือดได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง”

 


ดาวน์โหลดรายงานได้ที่ http://uni.cf/1vD63t1 หรือ www.unicef.or.th
และชมวิดีโอสัมภาษณ์เยาวชนกลุ่มเสี่ยงได้ที่ http://bit.ly/1l6WBgu

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net