เครือข่ายนักสิทธิไทย-เทศ แถลงห่วงกรณี ผอ. มูลนิธิผสานวัฒนธรรมถูก กองทหารพรานฟ้องหมิ่นประมาท

เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน 11 องค์กร เรียกร้องกองทหารพรานที่ 41 ถอนฟ้อง น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวกับการทรมานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ชี้กองทัพส่งสัญญาณลบต่อผู้ถูกละเมิดสิทธิ

25 ส.ค. 2557 เครือข่ายองค์กรเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ร่วมกันลงชื่อแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและนางสาวพรเพ็ญ คงเกียรติขจร ในความผิดข้อหาหมิ่นประมาทและทำให้เสียชื่อเสียงแก่กองทหารพรานที่ 41.

ทั้งนี้ นางสาวพรเพ็ญ ผู้อำนวยการของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่ทำเรื่องการตรวจสอบและจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการทรมานและการกระทำอันเลวร้ายในประเทศไทย

ได้รับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2557.

ในหนังสือหมายเรียกผู้ต้องหาซึ่งลงวันที่ 8 สิงหาคม 2557 ระบุว่า พันตรี ลิขิตกระฉอดนอก ในฐานะได้รับมอบอำนาจจากกองทหารพรานที่ 41 ได้แจ้งความกล่าวหานางสาวพรเพ็ญในข้อหาหมิ่นประมาทและการทำให้เสียชื่อเสียง ทางกองทัพได้กล่าวหาว่ามูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ทำให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อ เสียงโดยกล่าวข้อความในจดหมายเปิดผนึกเรื่องข้อร้องเรียนเรืื่องการทรมาน นอกจากนี้ในหมายเรียกยังระบุด้วยว่านางสาวพรเพ็ญจะต้องมารายงานตัวที่สถานี ตำรวจยะลา
ภาคใต้ของประเทศไทย ภายในวันที่ 25 สิงหาคมนี้

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า “นางสาวพรเพ็ญเป็นหนึ่งในนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแถวหน้าของประเทศไทยผู้มีส่วนเรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศไทยและในแถบภูมิภาค โดยได้ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนหลายด้าน รวมถึงสิทธิสตรี, การล้มเลิกโทษประหารชีวิตและการทรมาน, การเสียชีวิตในขณะที่อยู่ภายใต้การกักตัวของเจ้าหน้าที่และการฆ่าตัดตอน สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ และการบังคับให้สูญหาย. งานของเธอเป็นงานที่สร้างผลประโยชน์กับสาธารณะ เพื่อให้เกิดความมั่นว่ามีกระบวนการในการตรวจสอบความโปร่งใสในการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ เคารพสิทธิมนุษยชน”

“ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม นางสาวเพ็ญพรได้ทำการติดตาม ตรวจสอบและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวกับการทรมานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เรามีความเห็นว่าการกระทำของกองทัพเป็นสิ่งที่ปราศจากเหตุผล, ลุถึงแก่อำนาจและยิ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อของการทรมานปิดปากเงียบในคดีที่ตนถูกทรมานที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ การใช้วิธีบีบบังคับโดยการฟ้องคดี นางสาวพรเพ็ญ นอกจากจะต้องการหยุดนางสาวพรเพ็ญจากการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อที่ถูกทรมาน การกระทำของกองทัพยังถูกมองว่าเป็นการสร้างสภาวะที่ทำให้เหยื่อที่ถูกทรมานไม่สามารถที่จะร้องทุกข์ได้เลย

“นอกจากนี้การกระทำที่น่าละอายโดยกองทัพในการฟ้องคดีนักสิทธิมนุษยชนนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้เหยื่อคนอื่นๆ ที่อาจถูกทรมาน ไม่กล้าที่จะร้องเรียนเรื่องเหล่านี้ได้”

แถลงการณ์ยังเรียกร้องด้วยว่า แทนที่จะคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างนางสาวเพ็ญพร ทางกองทัพควรที่จะสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาว่ามีการการทรมานในทุกคดี และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"เรามีความเห็นว่าการกระทำของกองทัพเป็นสิ่งที่ปราศจากเหตุผล, ลุถึงแก่อำนาจและยิ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เหยื่อของการทรมานปิดปากเงียบในคดีที่ตนถูกทรมานที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่.การใช้วิธีบีบบังคับโดยการฟ้องคดี นางสาวพรเพ็ญ นอกจากจะต้องการหยุดนางสาวพรเพ็ญจากการให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อที่ถูกทรมาน
การกระทำของกองทัพยังถูกมองว่าเป็นการสร้างสภาวะที่ทำให้เหยื่อที่ถูกทรมานไม่สามารถที่จะร้องทุกข์ได้เลย
นอกจากนี้การกระทำที่น่าละอายโดยกองทัพในการฟ้องคดีนักสิทธิมนุษยชนนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนเพื่อให้เหยื่อคนอื่นๆที่อาจถูกทรมานไม่กล้าที่จะร้องเรียนเรื่องเหล่านี้ได้. แทนที่จะคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างนางสาวพรเพ็ญ ทางกองทัพควรที่จะสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาว่ามีการการทรมานในทุกคดีและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"การคุกคามโดยใช้การฟ้องคดีกับนางสาวพรเพ็ญนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิของคนทำงานในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย. ดังที่ระบุในข้อที่ 1 ในปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขององค์กรสหประชาชาติที่ระบุว่า
“ทุกคนมีสิทธิทั้งโดยปัจเจกและจากการสมาคมกับบุคคลอื่น ในการส่งเสริมและสนับสนุนการคุ้มครองและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ”

"เราเชื่อว่าการดำเนินคดีอาญาต่อนางสาวเพ็ญพรเป็นการดำเนินการที่มีวัตถุประสงค์ในการคุกคาม เป็นผลมาจากการดำเนินกิจกรรมสิทธิมนุษยชนที่ชอบธรรม เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน,
การทรมานในภาคใต้ของประเทศไทย"

ท้ายสุด แถลงการณ์ของเครือข่ายภาคประชาสังคมได้เรียกร้องให้กองทัพถอนฟ้องคดีอาญาต่อน.ส. พรเพ็ญทันทีโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะการฟ้องอาญาต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ทำหน้าที่อันชอบธรรมของตนนั้น ขัดกับผลประโยชน์สาธารณะ

"เราขอเรียกร้องให้รัฐบาล เคารพในสิทธิ หน้าที่ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในความรับผิดชอบของบุคคล กลุ่ม และหน่วยงานในสังคมเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยการดำเนินการเสนอและรวบรวมข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชน ารสร้างหลักประกันให้เกิดการคุ้มครองสำหรับผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิ อันเป็นหน้าที่ที่ยอมรับในระดับสากล ดังที่ระบุในปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้การรับรองว่าทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการทรมานและการละเมิดสิทธิอื่นๆ จะมีสิทธิในการร้องทุกข์ สิทธิดังกล่าวต้องได้รับการเคารพและคุ้มครองทั้งระบบ รวมถึงสิทธิในการได้รับความยุติธรรม" แถลงการณ์ระบุ

องค์กรภาคประชาสังคมที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ดังกล่าวประกอบด้วย

1. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
2. ศูนย์ข้อมูลชุมชน
3. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
4. สมาคมผู้หญิง นักกฎหมายและการพัฒนาแห่งเอเชียแปซิฟิก
5. Frontline Defenders
6. WOREC (Nepal)
7. National Alliance of Women Human Rights Defenders (Nepal)
8. International Service for Human Rights (ISHR)
9. Asia Forum for Human Rights and Development (Forum Asia)
10. Observatory for the Protection of Human Rights Defenders (OMCT-FIDH)
11. Protection International

สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าว น.ส. พรเพ็ญระบุว่า ได้ขอเลื่อนการรายงานตัวตามหมายเรียกออกไปก่อน จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ (25 ส.ค.)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท