Skip to main content
sharethis

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้วหารือทูตสหภาพยุโรป พร้อมแสดงความผิดหวังที่อียูระงับความร่วมมือ ชี้ในฐานะมิตรประเทศน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ไทยกำลังทำ โดยขอให้ทบทวนเพราะทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันยาวนาน พร้อมแจงสื่อมวลชนอียูยังไม่ได้คว่ำบาตร การค้า การลงทุนยังไปต่อ 'เอฟทีเอ' น่าจะเจรจากันได้

25 มิ.ย. 2557 - ตามที่สหภาพยุโรปมีมติระงับความร่วมมือกับไทย หลังจากที่ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรปเกี่ยวกับประเทศไทยในวันที่ 23 มิ.ย. ณ กรุงลักเซมเบิร์ก โดยสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเรียกร้องให้ประเทศไทยกลับสู่กระบวนการด้านประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด รวมทั้งปล่อยตัวผู้ที่ยังถูกคุมขังทางการเมืองทั้งหมดนั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติราชการแทน รมว.ต่างประเทศ และเฆซูส มิเกล ซานส์ เอกอัครราชทูตแห่งสหภาพยุโรป ภายหลังการหารือที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2557 (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญนายเฆซูส มิเกล ซานส์ เอกอัครราชทูตแห่งสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยมาหารือ ทั้งนี้ เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า นายสีหศักดิ์ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงผลการหารือ โดยปลัดกระทรวงกล่าวว่า ไทยผิดหวังต่อการออกมาตรการเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยของอียูที่ไม่สอดคล้องกับการดำเนินการล่าสุดของฝ่ายไทย รวมทั้งไทยผิดหวังที่แถลงการณ์ของอียูแสดงความไม่มั่นใจต่อแผนการ 3 ขั้นตอน หรือ Roadmap ของ คสช. และในฐานะมิตรประเทศอียูน่าจะแสดงความเข้าใจกับสิ่งที่ไทยได้พยายามดำเนินการอยู่ โดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งกับเอกอัครราชทูตแห่งสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยว่าการระงับการเยือนระดับสูง และการไม่ลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement – PCA)  ถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งอียูควรคำนึงถึงผลประโยชน์กับไทยในระยะยาว

ทั้งนี้นายสีหศักดิ์ ระบุว่า ขอให้อียูพิจารณาทบทวนการดำเนินมาตรการต่างๆ ในโอกาสแรกและควรรักษาปฏิสัมพันธ์กับไทยเพื่อขยายความร่วมมือต่อไป โดยอียูควรตระหนักถึงศักยภาพด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ซึ่งยังคงมีบทบาทที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน และคำนึงว่าทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้านและยาวนาน

ต่อข้อซักถามของผู้สื่อข่าวกรณีอียูจะดำเนินมาตรการคว่ำบาตรไทยนั้น ปลัดกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับอียูยังคงดำเนินต่อไปได้ โดยมาตรการของอียูไม่ใช่การคว่ำบาตร รวมทั้งอียูไม่ได้ระบุประเด็นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู ในแถลงการณ์ ดังนั้น การเจรจาสาระของ FTA จึงน่าจะดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้  มาตรการของอียูไม่กระทบต่อการประชุมระหว่างประเทศที่อียูเป็นเจ้าภาพ อาทิ การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน – อียู ณ กรุงบรัสเซลส์ และการประชุม ASEM ระดับผู้นำณ นครมิลาน โดยไทยได้รับเชิญและเข้าร่วมการประชุมได้ตามปกติ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการติดตามและชี้แจงต่อฝ่ายอียูมาโดยตลอด โดยปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญทูตประเทศสมาชิกอียูและประเทศตะวันตกมาหารือในหลายโอกาส  รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตของไทยในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปได้ชี้แจงและให้ข้อมูลกับรัฐบาลของประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ประชาไทรายงานด้วยว่า กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) แสดงความเห็นต่อกรณีที่ทูตอียูประจำประเทศไทยชี้แจงว่ามาตรการระงับความร่วมมือต่างๆ จะไม่กระทบกับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป โดยเอฟทีเอ ว็อทช์เห็นว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความหน้าไหว้หลังหลอกของสหภาพยุโรป เพราะก่อนหน้านี้เอฟทีเอ ว็อทช์ เคยทำหนังสือไปสอบถามเรื่องนี้ แต่สหภาพยุโรปไม่ยอมชี้แจง (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net