วันที่ 10 พฤษภาคม เมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว โรงงานเคเดอร์ ที่พุทธมณฑลสาย 4 เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ คนงานในโรงงาน ถูกไฟเผาทั้งเป็น 188 ชีวิต เป็นโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนงานมากที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย
ไฟไหม้เคเดอร์ ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของสังคมไทย ที่กระทำต่อผู้ใช้แรงงานอย่างโหดเหี้ยม กฎหมายที่ใช้เพื่อปกป้องคุ้มครองชีวิตของแรงงาน นอกจากจะล้าสมัย แล้ว ยังไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง
การขูดรีดในระบบทุนนิยม ดำเนินไปอย่างไร้ความปรานี ชีวิตของมนุษย์ที่ยากไร้ เป็นเพียงฟันเฟีองเล็กๆในระบบอุตสาหกรรม ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้นโยบายเร่งรัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างดุเดือดไม่ลืมหูลืมตา จำนวนคนงานที่ถูกดึงดูดเข้าสู่ระบบการผลิตเข้าสู่ประตูโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากมายมหาศาล เพราะผลของการหดตัวในภาคเกษตรกรรมที่ล่มสลาย กลายเป็นเหยื่อชั้นดี ที่สร้างผลกำไรจากมูลค่าส่วนเกินของแรงงานจากความพิการแขนขา การเจ็บป่วยด้วยโรคจากการทำงาน สารพิษเคมีร้ายแรง และด้วยความอ่อนแอของการรวมตัวของผู้ใช้แรงงาน กำไรสูงสุดของการผลิต จึงเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องสนใจกับชีวิตมนุษย์ เพราะนายทุนมองเห็นคนงานเป็นเพียงส่วนประกอบของการผลิต
พวกเขาเป็นเฟืองเล็กๆ ที่พร้อมจะถูกเปลี่ยน เหมือนอะไหล่เครื่องจักรที่ต้องได้รับการเปลี่ยนตามสภาพการใช้งาน แรงงานที่บาดเจ็บ พิการ เป็นโรคเรื้อรังจากสารเคมี ฯลฯ จำนวนมาก ตกเป็นภาระของครอบครัว ที่โดยปกติแล้ว คุณภาพชีวิตของครอบครัวก็ปริ่มๆที่จะล่มสลายหมดอนาคต หมดหนทางที่จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่นับบางครอบครัวที่ต้องสูญเสียเสาหลักไป โดยได้รับค่าชดเชยชีวิต เพียงพอให้อยู่รอดได้อีกชั่วลมหายใจสั้นๆเท่านั้น
ความทุกข์แสนสาหัสของแรงงานที่ถูกคัดทิ้งเหล่านั้น ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้การป่าวประกาศถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมไทย ที่กำลังจะกลายเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย
เบื้องหลังตุ๊กตาที่สร้างความสุขให้กับเด็กๆทั่วโลก กลับฉาบไปด้วยรอยเลือดและความเจ็บปวดของเหล่ากรรมกร โศกนาฏกรรมเคเดอร์ ส่งผลสะเทือนขวัญอย่างกว้างขวางต่อสำนึก เรื่องความปลอดภัยในสังคมไทย องค์กรผู้ใช้แรงงาน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ร่วมมือกันผลักดันมาตรการต่างๆที่จะให้ความคุ้มครองความปลอดภัยต่อผู้ใช้แรงงานเป็นจริงขึ้นมา หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่ได้ถูกนำเสนอ และถูกผลักดันต่อๆมาเพื่อเป็นความหวังของเหล่าผู้ใช้แรงงาน คือ การจัดตั้ง สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
โดยที่ภาคส่วนต่างๆ ตระหนักชัดถึงความล้มเหลวของภาครัฐ ในการจัดการความปลอดภัยในสถานประกอบการ ไฟไหม้ที่เคเดอร์ ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของรัฐ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย ที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุที่โรงงานเคเดอร์
ซึ่งใหญ่โตเกินกว่าที่รัฐ จะแก้ไขปัญหาความปลอดภัยฯได้โดยลำพังอีกต่อไป
นโยบายเร่งรัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยละเลยคุณภาพชีวิตของประชาชน ทำให้ไม่มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของแรงงาน
ปัญหาของกฎหมายที่ล้าหลัง และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นจริง ไม่อาจแก้ได้ด้วยการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้กฎหมาย เพราะ เพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเพียงพอกับการขยายตัวของโรงงาน ปัญหาจำนวนและคุณภาพของบุคคลากรด้านอาชีวอนามัย ที่ผลิตได้น้อย มีน้อย และที่มีอยู่ก็ขาดความรู้ความเข้าใจ
ปัญหาการขาดแคลนแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ ส่งผลให้เกิดปัญหาการวินิจฉัยโรคจากการทำงาน และการพัฒนาต่อยอดความรู้ในเรื่องโรคจากการทำงาน ปัญหาการจัดการบริหารของกองทุนทดแทน ที่ทำให้แรงงานเข้าไม่ถึงสิทธิของความคุ้มครอง ปัญหาที่เกิดจากนโยบายของรัฐที่มุ่งส่งเสริมสถานประกอบการดีเด่นที่ไม่มีอุบัติเหตุจากการทำงาน (Zero Accident) กลายเป็นความพยายามในการปกปิดข้อมูลการบาดเจ็บ เสียชีวิตของแรงงานในสถานประกอบการ
ปัญหาความไม่เข้มแข็งของสหภาพแรงงาน ที่นอกจากมีอยู่น้อยมาก (แรงงานในระบบประกันสังคม 9 ล้านคน สังกัดสหภาพประมาณ 3 แสนคน คิดเป็นประมาณ 2%) เกือบทั้งหมดไม่ตระหนักถึงปัญหาความปลอดภัย ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การต่อรองค่าจ้างและสวัสดิการ
นอกจากรัฐจะไม่ส่งเสริมการรวมตัวเป็นสหภาพแล้ว ยังประยุกต์ระบบไตรภาคีตามคำแนะนำของ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) แบบไทยๆ ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นตัวแทนจากทุกฝ่าย(รัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง) ทำหน้าที่กำหนดนโยบายแรงงานที่เป็นธรรม หากโดยแท้จริงแล้ว กลายเป็นเครื่องมือที่ชอบธรรมของรัฐในการกำหนดนโยบายตามที่รัฐต้องการ คณะกรรมการความปลอดภัยแห่งชาติ ที่ใช้กรรมการจากระบบไตรภาคี จึงไม่มีความรู้ความเข้าใจในปัญหาความปลอดภัย และไม่เคยมีมาตรการใดๆที่คุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้ใช้แรงงานที่เป็นสาระอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเพียงบางส่วน ที่ส่งผลต่อการเข้าถึงความคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ใช้แรงงาน สถาบันความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ในความคาดหวังของภาคประชาชน จึงต้องเป็นองค์กรอิสระ ที่ทำหน้าที่ทั้งการค้นคว้าทางวิชาการ เพื่อทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อประเด็นต่างๆ ที่มีปัจจัยและตัวแปรจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง และทำหน้าที่ขับเคลื่อน แนวทาง นโยบาย มาตรการต่างๆที่สำคัญ ในการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยฯทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค
การเป็นองค์กรอิสระ จะทำให้เกิดความคล่องตัวและไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และรับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆด้วยตัวเอง ส่วนการทำหน้าที่ทางวิชาการได้อย่างสมบูรณ์ ย่อมต้องการการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รวมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในระดับสถานประกอบการ โดยการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์สถานการณ์และการนำเสนอมาตรการต่างๆที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป
ส่วนการดำเนินการของสถาบันความปลอดภัยฯ ต้องได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐที่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ การเป็นอิสระ การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ และงบประมาณที่เพียงพอ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการให้สถาบันฯดำเนินการได้ตามเป้าหมาย
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ที่ผลักดันอย่างเต็มที่โดยฝ่ายข้าราชการกระทรวงแรงงาน และกำลังจะประกาศใช้ในอีกไม่นานนี้ ได้ปฏิเสธหลักการสามเรื่องข้างต้นโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากภาคประชาชนอย่างรุนแรง กระบวนการออกกฎหมายดังกล่าว ก็เดินหน้าโดยไม่สนใจฟังเสียงคัดค้าน รวมทั้งการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ที่เร่งรีบ รวบรัด เหมือนกรณี การรับฟังความเห็น โครงการ 3.5 แสนล้าน
สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นในเร็วๆนี้ จะไม่มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ประธานคณะกรรมการสถาบันฯมาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ซึงเป็นข้าราชการประจำก็ได้ ส่วนตัวแทนของนายจ้างและลูกจ้างเหลือเพียงฝ่ายละ 1 คนใช้ระบบการเลือกตั้งแบบไตรภาคี งบประมาณให้ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของ กองทุนความปลอดภัยฯ ที่อยู่ใน พรบ.ความปลอดภัย ฯฉบับปี 2554 เป็นหลัก
สถาบันฯนี้ จะทำหน้าที่เป็นเพียงสถาบันทางวิชาการ ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของฝ่ายราชการ กระทรวงแรงงานคงเข้าใจว่า สถานการณ์ความปลอดภัยของคนงานไม่ได้ร้ายแรง กลไกของราชการสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มีเพียงความรู้บางด้านที่ยังขาดแคลน จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะยกระดับสถาบันฯตามความคาดหวังของภาคประชาชน อีกทั้งข้อเสนอของภาคประชาชน ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบต่างๆของฝ่ายราชการ จึงมิอาจดำเนินการได้
นั่นคือคำอธิบายที่กระทรวงแรงงานและฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง จะตอบโต้กับเสียงคัดค้าน แต่ความจริงก็คือฉากซ้ำๆตอนหนึ่ง ของการต่อสู้เพื่อการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดำเนินการต่างๆภายในสังคม พลังอนุรักษ์ที่ยึดครองพื้นที่ และผลประโยชน์เดิมมาอย่างยาวนาน ย่อมไม่ต้องการแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ให้กับคนหน้าใหม่ อาวุธที่ใช้ลดทอนพลัง ของฝ่ายปรปักษ์ ด้วยการทำให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างความอ่อนแอในหมู่ศัตรู เป็นวิธีที่ได้ผล และยืดระยะเวลาของการแตกหักออกไป สังคมไทย จะได้สถาบันฯทางวิชาการเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง จะเป็นสถานที่ถกเถียงกันของเหล่านักวิชาการผู้ชาญฉลาด เสียงของการถกเถียงนั้นจะไม่มีวันรอดออกมานอกรั้วสถาบันฯ ภายนอกกำแพงที่ใหญ่โตของสถาบันฯ เรายังคงเห็นซากปรักหักพังของโรงงานเคเดอร์ เมื่อ ยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว ที่มีแต่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย